สร้างบ้านต้องใช้เงินเท่าไหร่? ค่าใช้จ่ายแฝงที่เจ้าของบ้านมักลืมนึกถึง!

“อุตส่าห์วางแผนไว้หมดแล้ว ทำไมงบถึงยังบานปลายอีก?” หลายคนคงคุ้นเคยกับปัญหานี้ เพราะตอนวางแผนสร้างบ้าน เรามักจะเน้นแค่ค่าใช้จ่ายใหญ่ๆ อย่างค่าก่อสร้าง ค่าวัสดุ ค่าแรงช่าง แต่เชื่อไหมครับ ว่ายังมีค่าใช้จ่ายอีกหลายรายการที่แฝงตัวเงียบๆ และพร้อมโผล่มาเซอร์ไพรส์เราได้ทุกเมื่อ เช่น บ้านบางหลัง BOQ ที่แนบมาไม่ได้รวมราคาของรั้วบ้านไว้ด้วย ซึ่งถ้าเรานับตามราคากลาง แค่ค่ารั้วรอบบ้านก็อาจมีราคาสูงถึงหลักแสนแล้วครับ วันนี้เรามาดูกันครับว่ามีค่าอะไรบ้างที่เจ้าของบ้านชอบลืม และควรเตรียมรับมือยังไงดี

ค่าตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ และอุปกรณ์ไฟฟ้า

สร้างบ้านเสร็จแล้ว แต่ภายในบ้านยังว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย เชื่อไหมครับว่าค่าเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชุดครัว หรือของตกแต่งที่ไม่ได้รวมในงบสร้างบ้าน อาจใช้เงินเพิ่มอีกไม่น้อย บางครั้งอาจสูงถึง 10-15% ของงบประมาณบ้านเลยก็ว่าได้ ถ้าไม่เตรียมเผื่อไว้ก่อนล่ะก็ ได้จุกแน่นอน

ค่าใช้จ่ายจัดสวน และตกแต่งภายนอก

สร้างบ้านเสร็จเรียบร้อย แต่พอมองออกไปนอกบ้านกลับเจอสวนโล่งๆ ดินลูกรังแดงๆ ไม่มีต้นไม้สวยๆ ให้ดูสบายตา การจัดสวนหรือปรับภูมิทัศน์ภายนอกบ้านให้ดูดี มักเป็นค่าใช้จ่ายที่หลายคนลืมนึกถึง โดยงบประมาณส่วนนี้ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ของสวน ถ้าเราจัดสวนเองได้ ก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้ครับ แต่ถ้าจ้างบริษัทรับจัดสวนราคาอาจพุ่งเป็นหลักแสนได้ แต่ก็แลกมาด้วยความสวยงาม

ค่าต่อเติม ซ่อมแซม หรือปรับเปลี่ยนแบบบ้านระหว่างก่อสร้าง

บางทีแบบบ้านที่วางแผนไว้ตอนแรกอาจจะดูดี แต่เมื่อสร้างจริงๆ กลับไม่ได้ดั่งใจ ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนแบบบ้านตอนก่อสร้าง ทำยังไงไม่ให้งบบานปลาย ระหว่างก่อสร้าง ค่าใช้จ่ายตรงนี้มักไม่ได้ถูกนับรวมไว้แต่แรก ซึ่งอาจทำให้งบบานปลายไปได้อีกไม่น้อยเลยครับ บางบ้านอาจพุ่งไปเป็นหลักล้านก็มี

ค่าใช้จ่ายยิบย่อยอื่นๆ ที่หลายคนมองข้าม

ไม่ว่าจะเป็นค่าขนย้าย ค่าเช่าบ้านระหว่างรอสร้างบ้านเสร็จ ค่าทำความสะอาดครั้งใหญ่ก่อนเข้าอยู่ หรือแม้แต่ค่าน้ำ ค่าไฟที่เพิ่มขึ้นระหว่างก่อสร้าง หลายคนอาจคิดว่าไม่สำคัญ แต่รวมๆ แล้วก็หนักเอาเรื่องเลยล่ะครับ

สรุป วางแผนงบประมาณสร้างบ้านให้ดี ป้องกันงบบานปลายตั้งแต่เริ่มต้น

การเตรียมงบสร้างบ้านที่ดี ควรมีเงินสำรองเพิ่มเติมจากงบหลักประมาณนึง เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายแฝงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด และที่สำคัญคือการเลือกบริษัทหรือทีมงานมืออาชีพที่เชี่ยวชาญด้าน การสร้างบ้าน โดยเฉพาะ จะช่วยให้คุณควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น และได้บ้านที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด การวางแผนให้รอบคอบตั้งแต่ต้นจะช่วยให้คุณสบายใจ ไม่ต้องมาเครียดกับปัญหางบบานปลายทีหลังครับ ให้ลองคิดว่า สร้างบ้านเสร็จแล้วกระบวนการต่อไปคืออะไร เช่น ซื้อโซฟา ติดตั้งอินเตอร์เน็ตรายเดือน ทีวี ตกแต่งภายใน ของใช้ในครัว แอร์ เป็นต้น

จ้างผู้รับเหมาเอง อาจเจอปัญหาหนัก! เช็กข้อเสียก่อนตัดสินใจสร้างบ้าน

สร้างบ้านทั้งที ใคร ๆ ก็อยากได้บ้านที่สวย แข็งแรง และอยู่ได้แบบไร้ปัญหา แต่รู้หรือไม่ว่า การจ้างผู้รับเหมาเองมีความเสี่ยงสูงกว่าที่คิด ถ้าไม่มีประสบการณ์ในการควบคุมงานก่อสร้าง อาจเจอปัญหา งบประมาณบานปลาย งานล่าช้า หรือบ้านไม่ได้มาตรฐาน

จะดีกว่าไหม ถ้าคุณเลือกใช้บริการรับสร้างบ้าน ที่มีทีมงานมืออาชีพคอยดูแลทุกขั้นตอน? มาดูกันว่าการจ้างผู้รับเหมาเองมีความเสี่ยงอะไรบ้าง และทำไมการใช้บริการรับสร้างบ้านถึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ให้ดูบทความนี้เลยครับ รับสร้างบ้าน

งบบานปลายควบคุมไม่ได้ เพราะไม่มีราคากลางที่ชัดเจน

งบสร้างบ้านที่วางแผนไว้อาจดูเหมือนพอดี แต่พอเริ่มสร้างจริง ค่าใช้จ่ายกลับพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ แบบไม่รู้ตัว ผู้รับเหมาบางรายอาจเสนอราคาถูกในตอนแรกเพื่อให้คุณตกลงจ้าง แต่เมื่อถึงเวลาก่อสร้าง กลับมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่ไม่ได้แจ้งไว้ก่อนล่วงหน้า ทำให้ต้องควักเงินเพิ่มตลอด

และอย่าลืมว่า การซื้อวัสดุเองไม่ได้ช่วยให้ถูกลงเสมอไป เพราะร้านค้าขายปลีกอาจให้ราคาสูงกว่าที่บริษัทรับสร้างบ้านได้จากซัพพลายเออร์โดยตรง ดังนั้นหากไม่มีการคำนวณงบประมาณที่แม่นยำ และไม่มีสัญญาที่กำหนดต้นทุนแน่นอนตั้งแต่แรก โอกาสงบบานปลายมีสูงมาก

งานก่อสร้างล่าช้า เพราะไม่มีแผนงานที่เป็นระบบ

การสร้างบ้านไม่ใช่เรื่องแค่จ้างช่างมาก่อสร้างแล้วจะเสร็จทันเวลา ผู้รับเหมาบางรายอาจรับงานหลายโครงการพร้อมกัน ทำให้บ้านของคุณต้องรอคิวไปเรื่อย ๆ ไม่มีตารางเวลาที่แน่นอน บางรายถึงขั้นหายไปเป็นเดือนโดยไม่มีความคืบหน้า

บางครั้งปัญหาก็ไม่ได้มาจากผู้รับเหมาเพียงอย่างเดียว วัสดุที่สั่งมาอาจมาช้ากว่ากำหนด แรงงานอาจขาดช่วง หรือเกิดเหตุสุดวิสัยเช่น ฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน แต่ถ้าคุณใช้บริการรับสร้างบ้านที่มีแผนงานชัดเจน ปัญหาพวกนี้จะถูกจัดการได้ดีกว่า

คุณภาพงานไม่เป็นไปตามที่ตกลง เพราะไม่มีทีมวิศวกรควบคุม

หลายคนคิดว่าการจ้างผู้รับเหมาเองจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย แต่หากไม่มีการควบคุมงานที่ดี บ้านที่สร้างอาจเต็มไปด้วยปัญหาโดยที่เจ้าของบ้านไม่ทันสังเกต ตั้งแต่ โครงสร้างไม่ได้มาตรฐาน ไปจนถึงปัญหาที่ซ่อนอยู่ เช่น ระบบไฟฟ้าติดตั้งผิดพลาด ผนังแตกร้าว หรือพื้นบ้านทรุด

  • ผู้รับเหมาบางรายเลือกใช้วัสดุคุณภาพต่ำเพื่อลดต้นทุน ทำให้บ้านเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ

  • ไม่มีวิศวกรตรวจสอบงาน ทำให้เกิดข้อผิดพลาดที่ต้องเสียเงินแก้ไขภายหลัง

  • งานติดตั้งระบบไฟฟ้า-ประปาทำอย่างเร่งรีบ อาจก่อให้เกิดอันตราย หรือทำให้ต้องรื้อซ่อมทีหลัง

บริการรับสร้างบ้านจะมีทีมวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญคอยตรวจสอบคุณภาพทุกขั้นตอน ทำให้มั่นใจได้ว่าบ้านที่สร้างขึ้นได้มาตรฐาน และไม่มีปัญหาจุกจิกภายหลัง

ผู้รับเหมาอาจทิ้งงาน กลายเป็นปัญหาบ้านไม่เสร็จ

ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการที่บ้านสร้างไปได้ครึ่งทาง แล้วผู้รับเหมาหายตัวไปแบบไร้ร่องรอย เจ้าของบ้านหลายคนเจอปัญหาจ่ายเงินไปแล้ว แต่สุดท้ายต้องมาตามหาผู้รับเหมาที่ปิดบริษัทหนี หรือโยกทีมงานไปทำงานที่อื่นจนบ้านเราค้างเติ่งอยู่แบบนั้น

สาเหตุที่ผู้รับเหมาทิ้งงานมีหลายอย่าง ตั้งแต่การรับงานเกินกำลัง ไม่มีเงินจ่ายค่าแรงลูกน้อง หรือบริหารโครงการผิดพลาด บางครั้งแม้จะมีสัญญาจ้าง แต่การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายอาจใช้เวลานานและวุ่นวายกว่าที่คิด ข้อสังเกตของ ผู้รับเหมากำลังจะทิ้งงานหรือบริหารงานไม่เป็น มีลักษณะยังไง ไปดูกันครับ

สรุป ทำไมบริการรับสร้างบ้านช่วยลดความเสี่ยงได้มากกว่า?

หากคุณต้องการสร้างบ้านให้เสร็จตามแผน ควบคุมงบประมาณได้ และได้คุณภาพที่ดีที่สุด บริการรับสร้างบ้านเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่า เพราะมีทีมงานมืออาชีพที่คอยดูแลทุกขั้นตอน

บ้านคือการลงทุนครั้งใหญ่ อย่าเสี่ยงให้บ้านในฝันกลายเป็นปัญหากวนใจในอนาคต

ปัญหาที่เจ้าของบ้านมักเจอหลังสร้างบ้านเสร็จ มีอะไรบ้าง แก้ยังไง?

สร้างบ้านเสร็จแล้ว เข้าอยู่ได้เลยจริงเหรอ?

หลายคนคิดว่าหลังจากบ้านสร้างเสร็จ ทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบ พร้อมเข้าอยู่ทันที แต่ความจริงคือ บ้านใหม่ก็อาจมีปัญหาได้! ไม่ว่าจะเป็น รอยร้าวบนผนัง น้ำรั่วจากหลังคา ไฟตกบ่อย หรือแม้แต่บ้านทรุด! ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะบ้านเก่า แต่มักเป็นผลมาจากขั้นตอนก่อสร้างที่มีข้อผิดพลาด หรือผู้รับเหมาทำงานไม่ได้มาตรฐาน

และข่าวร้ายก็คือ ถ้าคุณไม่ตรวจสอบให้ดีตั้งแต่ต้น คุณอาจต้องจ่ายเงินซ่อมเอง!
ดังนั้น ก่อนที่บ้านในฝันจะกลายเป็นฝันร้าย มาดูกันว่าปัญหาหลังสร้างบ้านเสร็จที่มักเกิดขึ้นมีอะไรบ้าง และต้องแก้ไขยังไงให้จบแบบไม่ต้องปวดหัว!

อยากให้บ้านของคุณไม่มีปัญหาตามมา? อ่านวิธีการรับสร้างบ้านที่ รับสร้างบ้าน เพื่อจะได้รู้ทันผู้รับเหมาและแต่ละขั้นตอนครับว่า มีขั้นตอนไหนบ้างที่เราต้องเตรียมหรือระวังไว้

รอยร้าวตามผนัง เกิดจากอะไร? อันตรายแค่ไหน?

รอยร้าวเป็นหนึ่งในปัญหาที่เจ้าของบ้านเจอเยอะที่สุด แต่อย่าเพิ่งตกใจ เพราะ ไม่ใช่รอยร้าวทุกแบบจะอันตราย

รอยร้าวเส้นเล็ก ๆ บนผนัง เป็นเรื่องปกติของงานก่อสร้าง เนื่องจากปูนขยายตัวและหดตัวตามอุณหภูมิ แต่ถ้าเป็น รอยร้าวขนาดใหญ่ตามแนวเสา คาน หรือพื้นบ้าน นี่คือสัญญาณอันตราย! บ้านอาจมีปัญหาเรื่องโครงสร้าง ควรรีบให้วิศวกรเข้ามาตรวจสอบ

ถ้าพบรอยร้าวที่ลึกจนสามารถสอดกระดาษเข้าไปได้ หรือมีความกว้างเกิน 3 มิลลิเมตร นี่คือปัญหาที่ต้องแก้ไขทันที ไม่งั้นบ้านอาจแตกร้าวหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นต้องซ่อมแซมใหญ่ มาดูกันครับว่า ผนังบ้านร้าว เกิดจากอะไร อันตรายไหม และบ้านจะถล่มหรือเปล่า?

น้ำรั่วซึมจากหลังคา-ผนัง ต้องแก้ยังไง?

บ้านใหม่แต่เจอปัญหาน้ำรั่วซึมจากหลังคาหรือผนัง เป็นสัญญาณว่าผู้รับเหมาทำงานไม่ละเอียดพอ หรือใช้วัสดุคุณภาพต่ำ ถ้าหลังคารั่ว จุดแรกที่ต้องตรวจสอบคือรอยต่อระหว่างแผ่นหลังคา ว่ามีการติดตั้งอย่างแน่นหนาหรือไม่ ถ้าพบรอยรั่ว ควรใช้ซิลิโคนกันน้ำหรือเคลือบสารกันซึม

แต่ถ้าปัญหาคือ น้ำซึมเข้าผนังบ้าน แสดงว่าอาจเกิดจากการฉาบปูนไม่ดี หรือทาสีกันซึมไม่ทั่วถึง วิธีแก้คือต้องเคลือบน้ำยากันซึมใหม่ หรือถ้ารอยรั่วหนักมาก อาจต้องรื้อและฉาบปูนใหม่ทั้งหมด

ระบบไฟฟ้ามีปัญหา ใช้งานแล้วไฟตก ไฟดับบ่อย?

ไฟตก หรือเบรกเกอร์ตัดบ่อย ๆ ในบ้านใหม่ เป็นอีกปัญหาที่เจ้าของบ้านเจอประจำ ซึ่งสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการวางระบบไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ขนาดสายไฟไม่รองรับโหลด หรือหม้อแปลงไฟฟ้าของพื้นที่ไม่เพียงพอ

ถ้าไฟดับทุกครั้งที่เปิดแอร์หรือไมโครเวฟ แสดงว่า วงจรไฟฟ้าอาจถูกออกแบบให้รองรับโหลดต่ำเกินไป วิธีแก้คือ ต้องให้ช่างไฟเข้ามาตรวจสอบและปรับเปลี่ยนสายไฟให้เหมาะสมกับการใช้งาน

บ้านทรุดเร็วผิดปกติ สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

บ้านใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จไม่ควรมีการทรุดตัวมากผิดปกติ ถ้าพื้นบ้านเริ่มแยกจากผนัง หรือมีรอยร้าวขนาดใหญ่ตามพื้น แสดงว่าฐานรากอาจมีปัญหา สาเหตุหลักมักมาจาก เสาเข็มสั้นเกินไป หรือตอกเสาเข็มไม่แน่นหนา ทำให้ดินเกิดการยุบตัวจนบ้านทรุดตาม

ถ้าพบว่าบ้านทรุดเร็วผิดปกติ ต้องให้วิศวกรเข้ามาประเมินด่วน เพราะอาจต้องแก้ไขด้วยการตอกเสาเข็มเพิ่ม หรือฉีดโฟมอัดดินเพื่อช่วยพยุงโครงสร้างบ้าน

รับประกันบ้านจากผู้รับเหมา เช็กให้ดี ไม่งั้นซ่อมเองแน่นอน!

บ้านใหม่ส่วนใหญ่มักมี การรับประกันจากผู้รับเหมา แต่ปัญหาคือเจ้าของบ้านหลายคนไม่ได้เช็กเงื่อนไขให้ดี ทำให้พอเจอปัญหาทีหลัง กลายเป็นต้องซ่อมเอง

สิ่งที่ควรเช็กก่อนเซ็นรับบ้าน:

  • รับประกันกี่ปี? ส่วนใหญ่รับประกันโครงสร้าง 5-10 ปี แต่งานไฟฟ้า-ประปา อาจรับประกันแค่ 1-2 ปี

  • ครอบคลุมอะไรบ้าง? ตรวจสอบว่างานที่มีปัญหาอยู่ในขอบเขตการรับประกันหรือไม่

  • แจ้งเคลมได้ที่ไหน? บางบริษัทต้องแจ้งภายในระยะเวลาที่กำหนด ไม่งั้นหมดสิทธิ์เคลม

ก่อนจะรับบ้าน ควรอ่านรายละเอียดการรับประกันให้ครบ และแจ้งปัญหาทุกอย่างก่อนหมดระยะเวลาประกัน

สรุป ปัญหาหลังสร้างบ้าน อย่ารอจนแก้ไขไม่ได้!

บ้านสร้างเสร็จแล้ว ไม่ได้แปลว่าทุกอย่างจะสมบูรณ์แบบ 100% เจ้าของบ้านต้องตรวจสอบให้ครบถ้วน อย่ารอจนปัญหาบานปลาย แล้วต้องมานั่งแก้ทีหลัง

หากเจอปัญหา ควรรีบติดต่อช่างหรือวิศวกรเข้ามาตรวจสอบทันที เพื่อแก้ไขก่อนที่ทุกอย่างจะยิ่งแย่กว่าเดิม

ผนัง Precast ดีไหม? รู้ข้อดี-ข้อควรระวัง และประเภทที่ควรรู้ก่อนสร้างบ้าน

เคยเห็นไซต์ก่อสร้างบ้าน คอนโด หรืออาคารสูง แล้วมีแผ่นปูนขนาดใหญ่ถูกยกมาวางเรียงต่อกันเหมือนจิ๊กซอว์มั้ยครับ? นั่นแหละคือ “ผนัง Precast” หรือคอนกรีตสำเร็จรูป วัสดุยอดนิยมที่ช่วยให้ก่อสร้างเร็ว แข็งแรง และแม่นยำขึ้นอย่างมาก

แต่รู้ไหมครับว่าผนัง Precast ไม่ได้มีแค่แบบเดียว และถ้าเลือกใช้ไม่ถูกกับโครงสร้างบ้านหรืออาคาร อาจนำไปสู่ปัญหาตามมาทีหลังได้เลย วันนี้ผมเลยอยากพามาทำความรู้จักแบบละเอียด ว่าผนัง Precast มีกี่ประเภท ใช้ต่างกันยังไง และควรระวังเรื่องอะไรบ้างก่อนตัดสินใจครับ

และถ้าคุณกำลังวางแผนก่อสร้างบ้านหรืออาคารโดยใช้ระบบ Precast อย่าลืมว่าการมีทีมงานรับเหมาก่อสร้างที่เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างตั้งแต่ต้นจะช่วยลดความเสี่ยงต่าง ๆ ได้มาก ลองดูรายละเอียดเกี่ยวกับงานก่อสร้างที่ครอบคลุมตั้งแต่โครงสร้างจนถึงงานตกแต่งได้ที่หน้า

ผนัง Precast คืออะไร?

ผนัง พรีคาสท์ หรือ Precast Concrete Wall คือแผ่นคอนกรีตที่ผลิตสำเร็จจากโรงงาน โดยมีการหล่อในแม่พิมพ์ พร้อมใส่เหล็กเสริมไว้ภายในตามตำแหน่งที่กำหนด แล้วนำมาประกอบเข้ากับโครงสร้างที่หน้างาน

ข้อดีของวิธีนี้คือ ควบคุมคุณภาพได้ดี เพราะผลิตในสภาพแวดล้อมที่มีมาตรฐาน ลดการใช้แรงงาน onsite และลดเวลาในการก่อสร้างได้มาก เพราะไม่ต้องก่ออิฐ ฉาบปูนหน้างานแบบเดิม

ผนัง Precast มีกี่ประเภท?

โดยทั่วไป ผนัง Precast ที่ใช้ในงานก่อสร้างจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่

ผนัง Precast แบบรับแรง (Load-Bearing Wall)

ผนังประเภทนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างอาคารโดยตรง มีหน้าที่รับน้ำหนักจากชั้นบนหรือจากโครงสร้างด้านบน เช่น หลังคา หรือพื้นชั้นถัดไป ใช้เหล็กเสริมขนาดใหญ่ภายใน และต้องออกแบบตามหลักวิศวกรรมที่แม่นยำ

วัสดุที่ใช้จะเป็นคอนกรีตหล่อเต็มแผ่น เสริมเหล็กเส้นขนาดใหญ่ เพื่อให้สามารถรองรับแรงได้สูง มักมีความหนามากกว่าผนังทั่วไป และต้องใช้เครนในการยกติดตั้งเข้ากับโครงสร้างที่เตรียมไว้ มักใช้ในผนังภายนอกอาคาร แกนกลางของอาคารสูง หรือผนังที่ต้องการความแข็งแรงสูงเป็นพิเศษ

ผนัง Precast แบบไม่รับแรง (Non-Load Bearing Wall)

ผนังประเภทนี้จะไม่ได้รับแรงจากโครงสร้างด้านบน ใช้เพียงแค่แบ่งพื้นที่ เช่น ผนังกั้นห้อง ผนังระหว่างยูนิตในคอนโด หรือผนังภายในบ้าน

วัสดุจะเบากว่า มักหล่อให้บางลงกว่าผนังแบบรับแรง หรือใช้แบบกลวงตรงกลางเพื่อลดน้ำหนัก เหล็กเสริมภายในมีขนาดเล็กกว่า และไม่ได้มีบทบาทต่อโครงสร้างหลักของอาคารโดยตรง

เหมาะสำหรับงานตกแต่งภายในหรืออาคารที่ต้องการความรวดเร็วในการก่อสร้าง และไม่ต้องรับแรงโครงสร้างหรือที่ภาษาเฉพาะชอบเรียกกันว่า ผนังคอนกรีตมวลเบา หรืออีกชื่อที่เรามักเจอบ่อยคือ Texcawall

ข้อดีของผนัง Precast

  • ลดเวลาการก่อสร้าง เพราะไม่ต้องก่ออิฐ ฉาบปูนหน้างาน

  • ควบคุมคุณภาพได้ดี เพราะผลิตจากโรงงาน

  • ผิวงานเรียบเนียน ลดขั้นตอนการฉาบ

  • มีความแข็งแรงมากกว่าผนังเบาทั่วไป

  • ใช้แรงงาน onsite น้อยลง เพราะติดตั้งด้วยเครื่องจักร

ข้อควรระวังของผนัง Precast

  • ต้องวางแผนและออกแบบตั้งแต่ต้น เพราะผลิตจากโรงงานแล้วไม่สามารถปรับหน้างานได้ง่าย

  • ขนาดต้องเป๊ะ เพราะต้องสั่งโรงงานผลิต

  • การเจาะผนังเพื่อแขวนของ ต้องใช้พุกเฉพาะของผนัง Precast

  • น้ำหนักมาก ต้องใช้เครนติดตั้งและมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการขนย้าย

  • หากติดตั้งไม่ดี อาจมีปัญหาน้ำรั่วตามรอยต่อระหว่างแผ่น

สรุป ผนัง Precast เหมาะกับงานแบบไหน ?

ถ้าคุณกำลังจะสร้างบ้าน อาคารพาณิชย์ หรือโครงการที่ต้องการความเร็วและคุณภาพที่สม่ำเสมอ ผนัง Precast ถือว่าเหมาะมาก เพราะช่วยให้ก่อสร้างรวดเร็ว และควบคุมต้นทุนได้ดี

แต่ถ้าคุณต้องการปรับแบบก่อสร้างระหว่างทาง หรือต้องการอิสระในการออกแบบที่ไม่ตายตัว ผนังชนิดนี้อาจไม่เหมาะนัก เพราะเป็นระบบสำเร็จรูปที่ปรับเปลี่ยนได้น้อย และหากผิดพลาดอาจเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมได้ ผนัง Precast ใช้เฉพาะอาคารใหญ่จริงไหม? เหมาะกับโครงการแบบไหนกันแน่

Precast คืออะไร? ใช้เฉพาะอาคารใหญ่จริงไหม? เหมาะกับงานแบบไหนมาดูกัน

คุณอาจเคยเห็นคำว่า Precast ตามโครงการคอนโดสูง อาคารสำนักงาน หรือโรงงานขนาดใหญ่ แล้วสงสัยว่ ผนัง Precast คืออะไร? หรือ บ้านธรรมดาแบบเราจะใช้ได้ไหม?

บทความนี้จะพาคุณรู้จักระบบ Precast Concrete แบบละเอียด พร้อมข้อดี–ข้อเสีย และแนวทางเลือกใช้ให้เหมาะกับงานของคุณ!

Precast คืออะไร ผนังสำเร็จรูปที่ไม่ได้มีแค่ อาคารใหญ่

Precast (พรีคาสท์) หรือ Precast Concrete คือระบบก่อสร้างที่ผลิตชิ้นส่วนคอนกรีตไว้ล่วงหน้าในโรงงาน
จากนั้นจึงขนส่งไปติดตั้งที่ไซต์งานทันที โดยไม่ต้องก่ออิฐหรือฉาบปูนเหมือนระบบดั้งเดิม

ผนัง Precast นิยมใช้กับ

  • ผนังภายนอก / ภายใน

  • พื้น

  • คาน

  • บันได

  • เสา

จุดเด่น คือ เร็ว เรียบ แข็งแรง และควบคุมคุณภาพได้

ข้อดีของผนัง Precast – ทำไมโครงการใหญ่ถึงหลงรัก

  • ติดตั้งเร็ว: แค่ยกวางก็เสร็จ หน้างานไม่ต้องรอนาน

  • แม่นยำสูง: ผลิตด้วยเครื่องจักรจากโรงงาน

  • ผิวเรียบไม่ต้องฉาบหนา: เข้าทำสีได้เร็ว

  • ลดแรงงาน: ไม่ต้องใช้ช่างก่อฉาบเยอะ

  • ลดของเสียและงานซ่อม: เพราะควบคุมคุณภาพได้ตั้งแต่ต้นทาง

Precast ข้อเสียมีอะไรบ้าง?

แม้จะดูเทพขนาดไหน…ทุกวัสดุก็มีข้อเสียครับ มาดูกันว่า Precast ต้องพิจารณาอะไรบ้าง

  • ราคาต่อ ตร.ม. สูงกว่าอิฐทั่วไปค่อนข้างมาก

  • ต้องใช้เครนยกและทีมติดตั้งเฉพาะทาง

  • การเจาะหรือเดินระบบภายหลังยาก

  • ไม่ยืดหยุ่นกับการดัดแปลงแบบหน้างาน

ผนัง precast เจาะได้ไหม แล้วถ้าจะเดินไฟ/ท่อเพิ่มทีหลังล่ะ?

คำตอบคือ เจาะได้ครับ!
แต่ต้อง…

  • ใช้เครื่องมือพิเศษ เช่น สว่านหัวเพชร

  • ห้ามเจาะโดยไม่ดูแบบ เพราะอาจโดนเหล็กโครงสร้าง

  • ทางที่ดี: วางแผนระบบไฟ/น้ำล่วงหน้าตั้งแต่แบบ CAD

  • โครงการใหญ่จึงนิยม ทำ Shop Drawing และฝังระบบไว้ตั้งแต่หล่อผนัง

และถ้าอยากเข้าใจรายละเอียดของวัสดุชนิดนี้ให้มากขึ้น ลองอ่านบทความนี้ดูครับ ผนัง Precast ดีไหม?

Precast เหมาะกับโครงการแบบไหน?

แม้จะเริ่มจากอาคารใหญ่ แต่ปัจจุบัน Precast ถูกนำมาใช้ในงานหลายแบบ เช่น

  • โครงการหมู่บ้านจัดสรร 10 หลังขึ้นไป

  • คอนโด อาคารสำนักงาน

  • โรงงาน อาคารคลังสินค้า

  • บ้านสำเร็จรูป (Modular House)

  • งานที่ใช้แบบเดียวกันซ้ำ ๆ หลายยูนิต

บ้านเดี่ยวทั่วไป ใช้ Precast ได้ไหม?

คำตอบคือ ได้ ถ้าคุณมี 3 สิ่งนี้

  1. แบบบ้านชัดเจน และไม่มีการแก้ไขระหว่างก่อสร้าง

  2. พื้นที่หน้างานพร้อมให้รถเครนเข้าถึง

  3. งบประมาณเพียงพอสำหรับระบบ Precast และทีมติดตั้ง

ข้อดี บ้านเสร็จเร็ว งานเป๊ะ ลดปัญหาผนังแตก รอยต่อ
ข้อควรคิด การเจาะหรือเปลี่ยนตำแหน่งระบบภายหลังจะทำได้ยากกว่า

Precast ราคาประมาณเท่าไหร่?

ราคาเฉลี่ยผนัง Precast  1,000 – 1,500 บาท/ตร.ม. (รวมผลิต + ขนส่ง + ติดตั้ง)

เทียบกับผนังก่ออิฐทั่วไป ประมาณ 600 – 900 บาท/ตร.ม.

แม้จะราคาสูงกว่าในตอนแรกแต่ถ้ารวมต้นทุนแรงงาน เวลา และความแม่นยำ Precast คุ้มค่าระยะยาว โดยเฉพาะในงานซ้ำแบบ

สรุป Precast ไม่ได้มีไว้แค่ อาคารใหญ่

สรุปแบบเข้าใจง่ายเลยครับ

  • Precast คือระบบผนังหล่อจากโรงงาน ติดตั้งเร็ว เนี๊ยบ ไม่ต้องฉาบ

  • ไม่ได้ใช้ได้เฉพาะอาคารใหญ่เท่านั้น แต่เหมาะกับ ทุกงานที่มีแบบชัดเจน และต้องการความเร็ว

  • จะเป็นบ้านเดี่ยว อาคารสำนักงาน หรือหมู่บ้านจัดสรรก็ใช้ได้ ถ้าเตรียมพร้อมให้ดี

วางแผนดีงานก็จะเสร็จเร็ว ถ้าทีมงานพร้อมหน้างานพร้อม ก็ถือว่าเป็นทางลัดที่คุ้มค่าครับ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: precast คืออะไร? ต่างจากอิฐยังไง?
A: Precast คือชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูปที่ผลิตจากโรงงาน ไม่ต้องก่อฉาบหน้างาน ต่างจากอิฐที่ต้องก่อทีละก้อน


Q: บ้านเดี่ยวใช้ Precast ได้ไหม?
A: ได้แน่นอน ถ้ามีแบบบ้านแน่นอนและเตรียมพร้อมเรื่องพื้นที่และงบประมาณสำหรับทีมติดตั้ง

โฟร์แมนมีหน้าที่อะไร สำคัญแค่ไหน ถ้าไม่มีจะเกิดอะไรขึ้น

ลองนึกภาพไซต์ก่อสร้างที่ไม่มีใครสั่งงาน ไม่มีใครบอกช่างว่าต้องทำอะไร ไม่รู้ว่าปูนต้องเทก่อนหรือสายไฟต้องเดินตอนไหน…
งานก่อสร้างจะเป็นไปได้ยังไง ถ้าไม่มีคนควบคุม?

คำตอบก็คือ… ไปไม่รอดแน่นอนครับ!
และต่อให้รอดส่วนมากงานก็จะเละหรือไม่เรียบร้อย คนที่ทำหน้าที่ควบคุมทุกอย่างในหน้างานนั้นก็คือ “โฟร์แมน” ตำแหน่งที่หลายคนอาจมองข้าม แต่ในความจริงแล้วสำคัญระดับหัวใจของโครงการเลยก็ว่าได้

โฟร์แมนอยู่ตรงไหนในโครงสร้างการทำงานของไซต์ก่อสร้าง?

ในระบบการทำงานของโครงการก่อสร้าง โฟร์แมนคือ ตำแหน่งกลางที่เชื่อมต่อทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน
เขาไม่ได้เป็นคนออกแบบหรือคิดระบบ แต่เขาคือ “คนทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นจริง”

  • ฝ่ายบริหารส่งแผนผ่าน ผู้จัดการโครงการ (Project Manager)

  • วิศวกรควบคุมแบบและระบบ

  • แล้วใครเป็นคนถ่ายทอดคำสั่งให้ทีมช่าง?
     คำตอบคือ โฟร์แมน

เขาคือ “ผู้ควบคุมภาคสนาม” ที่เดินอยู่หน้างาน เช็กงานจริง คุยกับช่างจริง แก้ปัญหาแบบเรียลไทม์ และรับแรงกดดันจากทุกฝ่ายโดยไม่ปริปากบ่น

โฟร์แมนต้องรับมือกับอะไรบ้างในแต่ละวัน?

โฟร์แมนไม่ได้แค่มายืนดูงานเฉย ๆ นะครับ แต่ชีวิตประจำวันของพวกเขาเต็มไปด้วย ภารกิจ ที่ต้องจัดการตลอดวันและค่อนข้างเหนื่อย

  • เช็กความพร้อมของคนงาน: ใครมา ใครขาด

  • ตรวจสอบวัสดุ: เหล็กมาส่งเวลาไหน ครบไหม? ถูกสเปกไหม?

  • ประสานงานกับวิศวกร/ผู้รับเหมาย่อย: ใครต้องทำอะไร เวลาไหน มีอะไรต้องแก้ไขเพิ่ม

  • จัดลำดับงาน: งานไหนต้องทำก่อน เพื่อไม่ให้ชนกัน กำลังเทปูน แบบหล่อคอนกรีตวางถูกต้องไหม

  • แก้ปัญหาเฉพาะหน้า: เช่น ฝนตก, เครื่องมือเสีย, พื้นไม่แห้ง

  • รายงานความคืบหน้า: ต้องส่งให้วิศวกรหรือผู้จัดการทุกวัน

ทั้งหมดนี้ต้องทำให้ทันในแต่ละวัน พร้อมกับดูแลความปลอดภัยของไซต์งานด้วย!
เรียกได้ว่า “เหนื่อยแต่เท่” จริง ๆ ครับ

และถ้าอยากรู้ว่าโฟร์แมนมีบทบาทยังไงในหน้างาน ลองย้อนดูที่คอนเทนต์นี้ครับ โฟร์แมนก่อสร้างมีหน้าที่อะไร ผมอธิบายไว้ละเอียดพอสมควร

ถ้าไม่มีโฟร์แมนจะเกิดอะไรขึ้น?

ข้อนี้ตอบง่ายมากเลยครับ เพราะ “โฟร์แมน” เปรียบเสมือน “หัวใจ” ของไซต์งาน
และถ้าขาดหัวใจ ทุกระบบก็พังหมด!

ตัวอย่างปัญหาที่มักเกิดเมื่อไม่มีโฟร์แมน:

  • ช่างไฟเดินสายหลังปูนเทเสร็จ = รื้อใหม่ เสียเวลา เสียเงิน

  • วัสดุขาด แต่ช่างไม่แจ้งและไม่มีใครสั่งล่วงหน้า = งานหยุดชั่วคราว

  • ช่างทำงานไม่พร้อมกัน งานชนกันไปหมด

  • เกิดอุบัติเหตุ เพราะไม่มีคนดูแลความปลอดภัย

  • เจ้าของโครงการต้องลงมาคุมเอง = เครียดแน่นอนครับ

โครงการล่าช้า งบบาน งานล่ม คือผลที่ตามมาหากไม่มีโฟร์แมนคุมเกม

โฟร์แมน กับ วิศวกร ต่างกันยังไง?

คำถามยอดฮิตจากคนทั่วไปคือ โฟร์แมนกับวิศวกรต่างกันไหม?

คำตอบคือ… ต่างกันครับ
แม้ทั้งสองจะทำงานร่วมกัน แต่หน้าที่ชัดเจนเลยว่า วิศวกรคือผู้ออกแบบ
โฟร์แมนคือผู้ควบคุมการลงมือทำจริง

ความแตกต่างแบบเข้าใจง่าย:

  • วิศวกร = ทำแผน ผัง คำนวณระบบ และโครงสร้าง

  • โฟร์แมน = ทำให้แผนเหล่านั้นเป็นจริงในไซต์งาน

ถ้าวิศวกรคือ เชฟใหญ่ โฟร์แมนก็คือ หัวหน้าแม่ครัวที่ควบคุมทีมครัว ให้ทำอาหารตามสูตรได้เป๊ะ ถ้าสองตำแหน่งนี้ทำงานได้เข้าขากันแล้วล่ะก็ โครงการของคุณจะดำเนินการได้ไวมาก

โฟร์แมนแต่ละสายงานดูแลอะไรบ้าง? ใครรับผิดชอบส่วนไหนในโครงการ?

ในไซต์งานใหญ่ ๆ ไม่ได้มีโฟร์แมนคนเดียวครับ
แต่มีแยกตามสายงานต่าง ๆ เพื่อให้แต่ละระบบทำงานได้อย่างแม่นยำ และไม่ชนกัน

1. โฟร์แมนโยธา

ดูแลงานโครงสร้างทั้งหมด เช่น ฐานราก เสา คาน เทคอนกรีต พื้น ถ้ามีอะไรพลาดตรงนี้ คือ “โครงสร้างพังได้ทั้งหลัง”

2. โฟร์แมนสถาปัตย์

ดูแลงานตกแต่ง เช่น ปูกระเบื้อง ทำฝ้า ทาสี ติดบานประตู ฯลฯ ต้องละเอียด งานสวยไม่สวยขึ้นอยู่กับสายนี้เลย

3. โฟร์แมนไฟฟ้า

รับผิดชอบการเดินสายไฟ ปลั๊ก สวิตช์ ระบบแสงสว่าง MDB ต้องแม่นเรื่องไฟมาก และทำงานใกล้ชิดกับวิศวกรไฟฟ้า

4. โฟร์แมนระบบ (MEP)

คุมงานประปา สุขาภิบาล แอร์ รวมถึงระบบระบายอากาศ โดยเฉพาะในอาคารสูงที่ระบบเหล่านี้ซับซ้อน

5. โฟร์แมนโรงงาน

ทำงานในไซต์อุตสาหกรรม ต้องมีความรู้เรื่องความปลอดภัย งานโครงสร้างพิเศษ เช่น พื้นโรงงาน โครงสร้างเหล็ก และมาตรฐานเฉพาะทาง

โครงการขนาดใหญ่ เช่น โรงพยาบาล โรงงาน หรือคอนโด จะมีโฟร์แมน 3-5 สายงานร่วมกันเสมอ และทำงานประสานกันแบบทีมเวิร์กสุด ๆ ครับ

โฟร์แมน หมวกสีอะไร? เรื่องเล่าที่คนทั่วไปไม่เคยรู้

รู้ไหมครับว่า… ในไซต์งาน “สีหมวก” มีความหมายด้วยนะ!

  • สีขาว = วิศวกร / ผู้ควบคุมงาน

  • สีเหลือง = ช่างทั่วไป

  • สีเขียว = เจ้าหน้าที่ความปลอดภัย (จป.)

  • สีฟ้าหรือสีส้ม = โฟร์แมน (แล้วแต่ระบบของแต่ละบริษัท)

หมวกโฟร์แมนมักมีวิทยุติดด้านข้าง พร้อมชื่อแสดงตำแหน่งชัดเจน เพราะต้องประสานงานตลอดเวลา ทั้งกับช่าง วิศวกร และผู้รับเหมาย่อย

หมวกนี่แหละครับ บ่งบอกตัวตนทีมและตำแหน่งอื่นๆรวมถึงของโฟร์แมนในไซต์แบบไม่ต้องถามเลยครับว่า พี่ๆ..อยู่ตำแหน่งอะไรฮะ

แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าโฟร์แมนคนไหน มืออาชีพ

อยากรู้ว่าโฟร์แมนเก่งหรือไม่เก่ง ดูไม่ยากเลยครับ

5 สัญญาณของโฟร์แมนมืออาชีพ

  1.  พูดสั้น แต่สั่งชัด

  2.  ทำงานตรงเวลา (มาถึงก่อนทุกคน)

  3.  ไม่โยนปัญหาให้คนอื่น

  4.  มีแผนสำรองในหัวตลอดเวลา

  5.  สื่อสารกับทุกฝ่ายได้ดี (แม้จะคนละภาษา!)

โฟร์แมนที่ดีทำให้งานลื่น เจ้าของงานแฮปปี้ วิศวกรไม่เครียด และช่างก็อยากร่วมงานต่อ แต่ก็จะมีโฟร์แมนบางคนที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพและทำให้หน้างานเสียหายหรือเกิดปัญหาได้

สรุ โฟร์แมนไม่ใช่แค่หัวหน้าหน้างาน แต่คือเสาหลักของโครงการ

โฟร์แมนเป็นมากกว่า คนยืนถือแบบในไซต์งาน
เขาคือคนที่ทำให้โครงการก่อสร้างเดินหน้าได้ตามแผน ทั้งในด้านคน งาน วัสดุ และเวลา

หากไม่มีโฟร์แมน งานจะมั่ว ชนกัน งบบาน และเสียชื่อบริษัทแน่นอน

เพราะฉะนั้น ถ้าคุณกำลังจะสร้างบ้าน อาคาร หรือโรงงาน อย่าลืมถามว่า ใครเป็นโฟร์แมน? เพราะเขาคือคนที่ทำให้ทุกอย่างราบรื่นครับ

ผนังคอนกรีตมวลเบา คืออะไร ทำไมโครงการใหญ่ชอบใช้?

ในยุคที่การสร้างบ้านและอาคารต้องแข่งขันกับเวลา งบประมาณ และคุณภาพ
“ผนังสำเร็จรูป” ไม่ใช่ของใหม่ในวงการก่อสร้าง และหนึ่งในระบบที่ถูกพูดถึงบ่อยในระดับโครงการก็คือ Texca Wall แต่คำถามก็คือ… texca wall คืออะไร? แล้วมันดีกว่าผนังทั่วไปแค่ไหน?

วันนี้เราจะพาคุณมารู้จักระบบผนังน้ำหนักเบาที่ติดตั้งเร็ว แข็งแรง และกำลังเป็นที่นิยมในหมู่โครงการขนาดใหญ่ทั่วประเทศ!

texca wall คืออะไร?

Texca Wall คือระบบผนังคอนกรีตมวลเบาสำเร็จรูป (Lightweight Precast Wall)
ผลิตจากคอนกรีตมวลเบาเสริมเหล็กที่หล่อขึ้นรูปมาจากโรงงาน
ติดตั้งได้ทันทีโดยใช้เครนยกเข้าตำแหน่ง แทนการก่ออิฐและฉาบปูนแบบดั้งเดิม

คุณสมบัติเด่นคือ

  • เบากว่าผนังคอนกรีตทั่วไป แต่ยังคงความแข็งแรง

  • มีความ เรียบมีขนาดที่เท่ากันทุกแผ่นจากการผลิตในโรงงาน

  • ติดตั้งเร็วมาก วันเดียวสามารถติดตั้งได้หลายสิบแผง

Texca Wall ต่างจากผนังก่อทั่วไปยังไง?

ลองมาดูการเปรียบเทียบแบบง่าย ๆ ระหว่างผนังทั่วไป กับ texca wall

ด้านเปรียบเทียบผนังอิฐมอญ/อิฐมวลเบาTexca Wall
การติดตั้งก่อทีละแผ่น ต้องฉาบปูนยกวางสำเร็จ ติดตั้งด้วยเครน
เวลาในการทำงานใช้เวลา 3–7 วันต่อหลังวันเดียวเสร็จหลายแผง
ความแม่นยำขึ้นอยู่กับช่างควบคุมคุณภาพจากโรงงาน
น้ำหนักหนักกว่าเบากว่า ช่วยลดโหลดโครงสร้าง
ผิวผนังต้องฉาบให้เรียบผิวเรียบจากโรงงาน ไม่ต้องฉาบหนา

texca wall ข้อดี ข้อเสีย

ข้อดี

  • เร็วเวอร์! ลดระยะเวลาก่อสร้างได้หลายวันต่อหลัง

  • ประหยัดแรงงาน ใช้คนไม่มาก ไม่ต้องพึ่งช่างก่ออิฐ

  • งานเป๊ะ เพราะผลิตจากโรงงาน ขนาดเท่ากันทุกแผ่น

  • ลดปัญหาหน้างาน เช่น ผนังไม่เรียบ ผนังแตกร้าว

  • เป็นฉนวนได้ในตัว กันร้อนและเสียงได้ดี

ข้อเสีย

  • ราคาสูงกว่าผนังก่อทั่วไป

  • ต้องวางแผนล่วงหน้า ทั้งระบบไฟ–น้ำ–ตำแหน่งประตูหน้าต่าง

  • การเจาะภายหลังทำได้ยาก ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะ

texca wall ราคาเท่าไหร่? คุ้มไหมสำหรับบ้านทั่วไป?

ราคาของ texca wall โดยประมาณ (รวมค่าผลิต ขนส่ง และติดตั้ง)
1,100 – 1,400 บาท/ตร.ม.

ในขณะที่ผนังอิฐมอญหรืออิฐมวลเบาทั่วไปมีราคาอยู่ที่ 600–900 บาท/ตร.ม.
Texca Wall แพงกว่าในตอนต้น แต่ได้ผลตอบแทนเป็น

  • เวลาก่อสร้างที่ลดลง

  • ลดค่าแรง

  • ลดของเสีย

  • ลดปัญหางานซ่อม

เหมาะมากกับบ้านที่ใช้ แบบสำเร็จ หรือ โครงการที่ต้องการความเร็ว

ถ้าอยากรู้ว่า ผนังคอนกรีตมวลเบา vs ผนัง Precast ต่างกันยังไง จะช่วยให้คุณเข้าใจการเลือกใช้งานได้ชัดเจนยิ่งขึ้นครับ

ทำไมโครงการใหญ่ถึงเลือกใช้ Texca Wall?

เพราะ Texca Wall คือ ตัวช่วยลับ ของโครงการที่ต้องการความคุ้มค่า

เหตุผลที่ผู้พัฒนาโครงการเลือกใช้ Texca Wall

  •  ลดเวลาการก่อสร้าง 30–50%

  •  ควบคุมคุณภาพได้ง่าย ไม่พึ่งพาช่างหลายทีม

  •  ลดการแต่งผนัง ทำให้เข้าทำสีเร็วขึ้น

  •  รองรับโครงการที่ต้องสร้างบ้านจำนวนมากในเวลาอันสั้น

Texca Wall เหมาะกับใคร?

เหมาะกับ

  • โครงการหมู่บ้านจัดสรร

  • คอนโดมิเนียม

  • อาคารสำนักงาน

  • โรงงานขนาดใหญ่

  • บ้านแบบสำเร็จรูป

ไม่เหมาะกับ

  • บ้านที่ยังเปลี่ยนแบบบ่อย

  • งานต่อเติมเล็ก ๆ ที่ไม่คุ้มค่าใช้ระบบนี้

  • ผู้รับเหมาทั่วไปที่ไม่มีเครื่องมือยกหรือทีมติดตั้งเฉพาะทาง

  • บ้านพักอาศัยทั่วไปที่จ้างผู้รับเหมาสร้างเพียง 1 หลัง

สรุป ผนังเบาแต่ประสิทธิภาพไม่เบา

แม้ชื่อจะเป็น “ผนังคอนกรีตมวลเบา” แต่ Texca Wall ไม่ได้เบาแค่เรื่องน้ำหนัก
มันช่วยให้การก่อสร้างทั้งโครงการ เร็วขึ้น ประหยัดขึ้น และแม่นยำกว่าเดิม
ถ้าคุณกำลังมองหาวัสดุที่ช่วยลดความวุ่นวายหน้างานและคุมคุณภาพได้ในระดับมืออาชีพ…
Texca Wall อาจเป็นคำตอบที่ “เบาแต่ทรงพลัง” ที่สุดสำหรับคุณ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: texca wall คือผนังสำเร็จรูปใช่ไหม?
A: ใช่ครับ Texca Wall เป็นผนังคอนกรีตมวลเบาเสริมเหล็กชนิดหนึ่งที่ผลิตสำเร็จจากโรงงานแล้วนำไปติดตั้งหน้างานได้เลย


Q: ใช้ texca wall กับบ้านเดี่ยวทั่วไปได้ไหม?
A: ได้ครับ แต่ควรมีแบบบ้านที่ชัดเจนและวางแผนการเดินระบบล่วงหน้า


Q: ถ้าต้องเจาะไฟหรือท่อหลังติดตั้ง Texca Wall จะทำได้ไหม?
A: ได้ครับ แต่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ เช่น สว่านหัวเพชร และควรให้ช่างที่มีประสบการณ์เป็นคนทำ

ผนังคอนกรีตมวลเบา vs ผนังสำเร็จรูป Precast ต่างกันยังไง แต่ละชนิดเหมาะกับการใช้งานแบบไหน

ถ้าคุณกำลังสร้างบ้าน คำว่า “ผนังสำเร็จรูป” น่าจะผ่านหูมาบ้างแน่ ๆ
แต่เคยสังเกตไหมว่า มีคนใช้คำนี้กับทั้ง ผนังมวลเบาแบบก่อประกอบ และ ผนัง precast หล่อจากโรงงาน แล้วแบบไหนคือแบบไหนกันแน่ ใช้แทนกันได้ไหม?
แล้วถ้าต้องเจาะ ทุบ หรือต่อเติม…มันทำได้หรือเปล่า?

บทความนี้จะพาคุณมาทำความรู้จักความแตกต่างของผนังทั้งสองแบบ พร้อมวิธีเลือกให้เหมาะกับบ้านหรือโครงการของคุณ

รู้จัก ผนังคอนกรีตมวลเบาสำเร็จรูป คืออะไร?

ผนังคอนกรีตมวลเบาสำเร็จรูปทำจากวัสดุที่เรียกว่า AAC (Autoclaved Aerated Concrete) หรือ อิฐมวลเบา วัสดุนี้มีน้ำหนักเบากว่าอิฐทั่วไป กันความร้อนได้ดี ติดตั้งง่าย โดยรูปแบบ สำเร็จรูป ที่หลายคนพูดถึง ก็คือการผลิตแผ่นมวลเบาในขนาดมาตรฐานจากโรงงาน แล้วนำมาติดตั้งแทนอิฐมอญหรือการก่อทีละก้อน  ซึ่งแต่ละแผ่นก็จะมีความหนา ความยาว แตกต่างกันไป

แม้จะเรียกว่าสำเร็จรูป แต่ยังต้องติดตั้งเรียงกันทีละแผ่นและ “ฉาบปูน” เหมือนผนังทั่วไปครับ

หากอยากรู้ลึกขึ้นเกี่ยวกับวัสดุนี้ ลองดูข้อมูลเพิ่มเติมใน ผนังคอนกรีตมวลเบา คืออะไร ทำไมโครงการใหญ่ชอบใช้?

ผนังสำเร็จรูป Precast คืออะไร?

Precast (พรีคาสท์) คือผนังคอนกรีตที่หล่อเสร็จมาจากโรงงาน ขนาด ความหนา และตำแหน่งช่องเปิดถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า
เมื่อติดตั้งก็ยกมาวางหน้างานด้วยเครน ไม่ต้องก่อ ไม่ต้องฉาบ

ผนัง Precast มักถูกใช้ในงานโครงการ เช่น คอนโด หมู่บ้านจัดสรร ที่มีรูปแบบซ้ำๆกันหลายหลัง หรืออาคารขนาดใหญ่ เพราะติดตั้งเร็วและคุมมาตรฐานได้ดี

เปรียบเทียบข้อดี–ข้อเสีย ผนังคอนกรีตมวลเบาสำเร็จรูป vs ผนัง Precast

จุดเปรียบเทียบผนังคอนกรีตมวลเบาสำเร็จรูปผนังสำเร็จรูป Precast
น้ำหนักเบากว่า โครงสร้างรับน้ำหนักน้อยหนัก ต้องออกแบบรับน้ำหนักเพิ่ม
การติดตั้งก่อทีละแผ่น ใช้เวลามากกว่ายกติดตั้งทั้งแผงด้วยเครน รวดเร็ว
ความแม่นยำขึ้นอยู่กับฝีมือช่างแม่นยำตามแบบจากโรงงาน
งานระบบ (ไฟ/น้ำ)เจาะง่าย เดินระบบได้ภายหลังเจาะยาก ต้องวางระบบตั้งแต่แรก
การซ่อมแซมซ่อมง่าย เปลี่ยนแผ่น แก้งานสะดวกซ่อมยาก ถ้าเจาะผิดอาจกระทบโครงสร้าง

 

แบบไหนเหมาะกับการใช้งานประเภทใด?

  • ผนังคอนกรีตมวลเบาสำเร็จรูป เหมาะกับ…

    • บ้านเดี่ยวทั่วไป

    • งานต่อเติม รีโนเวต

    • ผู้ที่ต้องการยืดหยุ่นในภายหลัง เช่น เดินระบบ หรือเจาะผนัง

  • ผนังสำเร็จรูป Precast เหมาะกับ…

    • โครงการหมู่บ้าน, คอนโด, อาคารขนาดใหญ่

    • งานที่ต้องการความรวดเร็ว และควบคุมคุณภาพ

    • พื้นที่ที่ไม่มีปัญหาการเปลี่ยนแบบบ่อย ๆ

ทีมรับเหมาที่เข้าใจเรื่องวัสดุจึงสำคัญ ลองดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ รับเหมาก่อสร้าง

ผนังสำเร็จรูป ราคาเท่าไหร่?

คำถามยอดฮิตเลยครับว่า ผนังสำเร็จรูป ราคาเท่าไหร่?

ผนังคอนกรีตมวลเบาสำเร็จรูป

  • วัสดุ + ค่าแรง: ประมาณ 600–900 บาท/ตร.ม.

  • ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ ความหนา และความยากของงาน

ผนัง Precast

  • ค่าหล่อ + ขนส่ง + ติดตั้ง: ประมาณ 1,000–1,500 บาท/ตร.ม.

  • ต้องใช้เครนและช่างเฉพาะทาง ราคาสูงกว่าแต่ติดตั้งเร็ว

สรุป: มวลเบาถูกกว่า เหมาะกับงานเล็กและบ้านทั่วไป / Precast เหมาะกับโครงการและงานที่มีแบบตายตัว

ผนัง Precast เจาะได้ไหม? แล้วงานระบบทำยังไง?

คำตอบคือ เจาะได้ครับ แต่มีเงื่อนไข!

  • ต้องเจาะด้วยเครื่องมือเฉพาะ เช่น สว่านหัวเพชร

  • ไม่ควรเจาะมั่ว เพราะผนังมีเหล็กเสริมด้านใน

  • ควร “วางแผนงานระบบตั้งแต่แรก” เช่น ไฟฟ้า ประปา สายสื่อสาร

  • แนะนำให้ทำ Shop Drawing ก่อนผลิต เพื่อเว้นช่องไว้เลย

ถ้าสร้างบ้านเอง ควรเลือกผนังแบบไหนดี?

หากคุณไม่ได้สร้างบ้านทีละ 10 หลัง หรือเป็นผู้พัฒนาโครงการ
การใช้ผนังคอนกรีตมวลเบาสำเร็จรูปจะ ยืดหยุ่นและประหยัดกว่า หรือใช้การก่อผนังทั่วไปก็ได้ครับ

แต่ถ้าคุณใช้แบบบ้านสำเร็จรูป และสร้างจำนวนหลายหลัง มีแบบตายตัวทุกหลัง และต้องการความเร็ว
ผนัง Precast ก็เป็นทางเลือกที่ดี เพียงแต่ต้องเตรียมพื้นที่และงบประมาณให้พร้อม

สรุป ผนังแต่ละแบบดีคนละแบบ อยู่ที่การใช้งาน

  • มวลเบาสำเร็จรูป: ดีตรงติดตั้งง่าย เจาะง่าย ซ่อมสะดวก

  • Precast: เด่นที่แม่นยำ ติดตั้งเร็ว ดูเป็นมืออาชีพ

  • ทั้งคู่คือ “ผนังสำเร็จรูป” แต่ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

  • สุดท้าย…เลือกให้เหมาะกับหน้างาน และความต้องการของคุณดีที่สุดครับ!

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: ผนังมวลเบาสำเร็จรูปคือผนัง Precast ไหม?
A: ไม่ใช่ครับ มวลเบาคือวัสดุที่ต้องก่อหรือติดตั้งทีละแผ่นเหมือนเรียงจนเป็นห้อง ส่วน Precast คือแผ่นคอนกรีตหล่อเสร็จจากโรงงานและใช้เครนยกขึ้นมาติดตั้งเป็นจิ๊กซอว์


Q: ผนัง Precast เจาะไฟหรือท่อเพิ่มได้ไหม?
A: ได้ครับ แต่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ และควรให้ช่างที่ชำนาญทำ เพื่อไม่ให้กระทบโครงสร้าง


Q: ผนังสำเร็จรูปเหมาะกับบ้านเดี่ยวไหม?
A: ได้ ถ้ามีการวางแบบบ้านไว้ชัดเจน และยอมรับข้อจำกัดเรื่องการดัดแปลงภายหลัง

บ้านชั้นเดียว VS บ้านสองชั้น เลือกผิดอาจเสียดายไปตลอดชีวิต

ลองจินตนาการดู… คุณมีที่ดินพร้อม งบก่อสร้างพร้อม ใจพร้อม
แต่กลับลังเลอยู่ว่า จะสร้างบ้านชั้นเดียว หรือบ้านสองชั้นดี? หลายคนคิดว่ามันเป็นแค่เรื่อง มีบันไดหรือไม่มีบันได
แต่ความจริงแล้ว การเลือกผิด อาจทำให้คุณใช้ชีวิตในบ้านแบบฝืนใจไปทั้งชีวิตก็เป็นได้ หรืออาจจะเซ็งๆว่า รู้งี้น่าจะเอาสองชั้น

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักข้อดี-ข้อเสียของบ้านทั้งสองแบบ พร้อมเทคนิคการเลือกที่ ไม่ใช่แค่ตามเทรนด์ แต่ ตอบโจทย์ชีวิตจริงของคุณ

บ้านชั้นเดียว เหมาะกับใครและชีวิตแบบไหน?

บ้านชั้นเดียวเหมาะกับหลายกลุ่มมากกว่าที่คิด:

  • ผู้สูงอายุหรือผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการขึ้นลงบันได

  • ครอบครัวขนาดเล็ก 2–4 คน ที่อยากมีพื้นที่อบอุ่น

  • คนที่มีพื้นที่ดินกว้างพอจะออกแบบแนวราบได้

  • ผู้ที่ต้องการควบคุมงบก่อสร้างให้ไม่บานปลาย

  • คนที่ชอบจัดสวนรอบบ้าน มีลานนั่งเล่น มุมพักผ่อนกลางแจ้ง

นอกจากนี้ บ้านชั้นเดียวแบบ ยกพื้น ยังช่วยให้ดูโปร่งโล่ง ปลอดภัยจากน้ำท่วม และเพิ่มดีไซน์ที่สวยสะดุดตาได้ด้วยครับ บางคนก็สร้างบ้าน200-300 ตรม. เพื่อสำหรับครอบครัวใหญ่แต่ก็นั่นล่ะครับค่าใช้จ่ายในการสร้างมักใหญ่ตาม

จุดเด่นของบ้านชั้นเดียว ที่คุณอาจมองข้าม

แม้จะดูเรียบง่าย แต่บ้านชั้นเดียวก็มีเสน่ห์ที่หาไม่ได้จากบ้านสองชั้น

  •  เดินสะดวก ไม่ต้องห่วงเรื่องบันไดลื่นล้ม

  •  ต่อเติมง่าย เพิ่มครัว ห้องทำงาน หรือมุมเล็ก ๆ ได้ไม่ยาก

  •  เหมาะกับการจัดแปลนแบบเปิดโล่ง (Open Plan) เช่น ห้องนั่งเล่นเชื่อมครัว

  •  บำรุงรักษาง่าย ทั้งหลังคา ท่อน้ำ ทาสี

  •  ดีต่อระบบระบายอากาศ หากออกแบบให้โปร่งลมเข้าได้รอบบ้าน

โดยเฉพาะถ้าเลือกแนว บ้านชั้นเดียว โมเดิร์น ก็จะยิ่งดูทันสมัยและเรียบเท่ไม่แพ้บ้านสองชั้นเลยครับ

บ้านสองชั้น ได้พื้นที่มากกว่า แต่ต้องแลกอะไร

บ้านสองชั้นเป็นตัวเลือกยอดนิยมของคนที่มีที่ดินจำกัดแต่ต้องการพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นห้องนอนเพิ่ม ห้องทำงาน หรือโซนพักผ่อนที่เป็นสัดส่วนมากขึ้น โดยเฉพาะครอบครัวขนาดกลางถึงใหญ่ บ้านสองชั้นตอบโจทย์ได้ดี

แต่สิ่งที่ต้องแลกมาก็คือ ค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น เพราะโครงสร้างซับซ้อนกว่า และต้องมีระบบบันไดที่ปลอดภัย อีกทั้งยังมีเรื่อง ความสะดวกในการอยู่อาศัย โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุหรือเด็กเล็กที่อาจไม่สะดวกกับการขึ้นลงชั้นสอง

หากเลือกบ้านสองชั้น ต้องมั่นใจว่าพร้อมดูแลและใช้งานในระยะยาวได้อย่างสบายใจครับ

เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของบ้านชั้นเดียวและสองชั้น

 ข้อดีของบ้านชั้นเดียว

  • เหมาะกับทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ

  • ควบคุมงบง่าย โครงสร้างเรียบง่าย

  • บำรุงรักษาสะดวก

  • เชื่อมต่อพื้นที่ในบ้านได้ลื่นไหล

  • ตกแต่งและจัดสวนรอบบ้านได้ง่าย

 ข้อเสียของบ้านชั้นเดียว

  • ใช้ที่ดินมาก หากต้องการห้องหลายฟังก์ชัน

  • ความเป็นส่วนตัวน้อยกว่าบ้านสองชั้น

  • หากออกแบบไม่ดี บ้านอาจดูเตี้ย ทึบ

 ข้อดีของบ้านสองชั้น

  • พื้นที่ใช้สอยเยอะแม้ที่ดินน้อย

  • แบ่งโซนใช้งานชัดเจน

  • ดูทันสมัยและเป็นทางการ

  • เหมาะกับครอบครัวที่ต้องการห้องเฉพาะ เช่น ห้องพระ ห้องทำงาน

 ข้อเสียของบ้านสองชั้น

  • ราคาสูง โครงสร้างซับซ้อน

  • ต้องขึ้นลงบันไดทุกวัน

  • งานระบบ (ไฟฟ้า-น้ำ) ซ่อนอยู่หลายจุด ดูแลยาก

เลือกแบบบ้านชั้นเดียวยังไงให้ตรงใจ?

เริ่มจากถามตัวเองว่า ต้องการห้องกี่ห้อง และ ใช้ชีวิตแบบไหน

  • บ้านชั้นเดียว 3 ห้องนอน: เหมาะกับครอบครัวขนาดกลาง มีห้องเด็กหรือห้องทำงานเสริม

  • บ้านชั้นเดียว 4 ห้องนอน: สำหรับครอบครัวใหญ่ หรือคนที่ทำงานอยู่บ้าน

  • เลือก บ้านชั้นเดียวยกสูง เพื่อเพิ่มมิติให้บ้าน และป้องกันน้ำท่วม

  • สไตล์ยอดนิยม เช่น บ้านชั้นเดียว โมเดิร์น, ลอฟต์, มินิมอล

เคล็ดลับคือ อย่าดูแค่แบบบ้านจากภายนอก ให้ดูแปลนภายในด้วยครับ

บ้านชั้นเดียว สวยๆ ต้องมีอะไร?

ถ้าอยากให้บ้านชั้นเดียวดูสวยและไม่เรียบจนเกินไป ลองทำหรือดูตัวอย่างที่เป็นแนวนี้ครับ

  • ใช้วัสดุผสม เช่น ผนังไม้เทียม ปูนเปลือย กระจก

  • เลือกโทนสีอบอุ่น หรือ Earth tone เช่น น้ำตาล-เทา-ขาว

  • เพิ่มระเบียงหรือมุมนั่งเล่นหน้าบ้าน

  • จัดสวนหน้าบ้านให้น่าอยู่ เช่น สนามหญ้าเล็ก ๆ หรือต้นไม้บังแดด

  • เปิดรับแสงธรรมชาติด้วยกระจกบานใหญ่

สไตล์ บ้านชั้นเดียว สวยๆ มักไม่ได้มาจากความหรูหรา แต่มาจาก ความพอดี ครับ

งบประมาณเท่าไหร่ ถึงจะสร้างบ้านชั้นเดียวได้ดี?

ถ้าบอกว่างบประมาณเท่าไหร่ถึงจะดี ต้องบอกว่าได้หมดทุกราคาครับ แค่ปัจจัยหลักขึ้นอยู่กับการออกแบบและฟังก์ชั่นการใช้งาน
ถ้าคุณสร้างบ้านในราคาหลักหนึ่งล้านต้นๆ แต่วางแผนและออกแบบดี ก็จะสวยและไม่แพ้หลังแพงๆเลยครับ

  • งบ 1 ล้าน → บ้าน 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาดกะทัดรัด

  • งบ 2 ล้าน → บ้านชั้นเดียว 3 ห้องนอน พื้นที่ครบ

  • งบ 2.5 – 3 ล้าน → บ้าน 4 ห้องนอน พร้อมจอดรถและสวนเล็ก ๆ

  • เผื่องบ 10–15% สำหรับรั้ว งานระบบ หรือของตกแต่งเพิ่มเติม

จะรู้ได้ยังไงว่า บ้านชั้นเดียว หรือ บ้านสองชั้น เหมาะกับเรา

เอาหัวข้อตามนี้ไปเขียนแล้วลองตอบคำถามให้ตัวเองอ่านครับ จะได้รู้ว่าจริงๆแล้วเราควรสร้างบ้านแบบไหน

  1. ในบ้านมีผู้สูงอายุไหม?

  2. ที่ดินกว้างแค่ไหน?

  3. งบประมาณอยู่ในช่วงไหน?

  4. ต้องการห้องแยกสำหรับทำงานหรือกิจกรรมพิเศษหรือเปล่า?

  5. คุณชอบบ้านแนวกว้างหรือสูงโปร่ง?

ถ้าคำตอบส่วนใหญ่คือ ไม่อยากขึ้นบันได,มีพื้นที่กว้าง, งบไม่เยอะ  บ้านชั้นเดียวคือคำตอบ

แต่ถ้าที่ดินจำกัด ฟังก์ชันต้องเยอะ และไม่ติดเรื่องบันได บ้านสองชั้นก็น่าสนใจไม่แพ้กัน

อาจต้องระวังปัญหาเรื่องน้ำท่วม เพราะระดับบ้านใกล้พื้นดินมากกว่า หากคุณกังวลเรื่องนี้ ลองอ่านเพิ่มเติมได้ที่ บ้านชั้นเดียว เสี่ยงปัญหาน้ำท่วม มากกว่าบ้านสองชั้นจริงไหม?

สรุป บ้านที่ใช่ไม่ใช่แค่ สวย แต่ต้อง เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเรา

จะสร้างบ้านอย่าดูแค่แบบบ้านจากโซเชียลแล้วคิดว่า “สวยดี น่าอยู่”
เพราะบ้านที่ดีไม่ใช่แค่สวยในสายตาคนอื่น แต่ต้อง ตอบโจทย์การใช้ชีวิตจริงของคุณ

ไม่ว่าคุณจะเลือกบ้านชั้นเดียวหรือบ้านสองชั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ…

บ้านต้องเหมาะกับชีวิต ไม่ใช่ชีวิตที่ต้องปรับให้เหมาะกับบ้าน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: บ้านชั้นเดียวเหมาะกับใคร?
A: เหมาะกับครอบครัวที่มีผู้สูงอายุ, เด็กเล็ก, หรือคนที่ต้องการความสะดวก ไม่ต้องเดินขึ้นลงบันได


Q: บ้านสองชั้นดีกว่าบ้านชั้นเดียวจริงไหม?
A: ไม่เสมอไป บ้านสองชั้นมีข้อดีเรื่องพื้นที่ใช้สอยและการแบ่งโซนชัดเจน แต่ก็มีข้อจำกัดเรื่องงบและความสะดวก


Q: งบเท่าไหร่ถึงจะสร้างบ้านชั้นเดียวได้?
A: งบเริ่มต้นประมาณ 1–2 ล้านบาท สำหรับบ้าน 2–3 ห้องนอน หากต้องการ 4 ห้องนอนหรือมีพื้นที่มากขึ้น ควรเตรียมงบ 2.5–3 ล้านบาทขึ้นไป


Q: บ้านชั้นเดียวยกสูงดีไหม?
A: ดีครับ โดยเฉพาะในพื้นที่น้ำท่วมง่าย หรือพื้นที่ที่ต้องการระบายอากาศใต้บ้าน ช่วยเพิ่มความโปร่งและสวยงามด้วย


Q: ถ้ามีผู้สูงอายุในบ้าน ควรเลือกบ้านชั้นเดียวหรือสองชั้น?
A: แนะนำบ้านชั้นเดียว เพราะไม่มีบันได เดินง่าย ปลอดภัย และเหมาะกับผู้สูงอายุที่สุด

วิธีขออนุญาตสร้างบ้านต้องทำยังไง? เช็กให้ชัวร์ก่อนเริ่มก่อสร้าง!

การสร้างบ้านหลังใหม่ไม่ใช่แค่เลือกแบบสวย ๆ แล้วหาผู้รับเหมา แล้วก็รอชมบ้านเสร็จเหมือนในละคร! เรื่องที่เจ้าของบ้านทุกคนมักงงสุด ๆ คือ “ขออนุญาตสร้างบ้าน” เพราะมันเต็มไปด้วยเอกสาร กฎหมาย และค่าใช้จ่ายยิบย่อย บทความนี้จะพาคุณไล่ดูทุกขั้นตอน ตั้งแต่ขนาดของบ้าน ไปจนถึงค่าธรรมเนียมที่ต้องเตรียม อ่านจบเข้าใจง่ายแน่นอนครับ

 

แบบบ้านกี่ตารางเมตรถึงต้องขออนุญาตก่อสร้าง?

ขอเคลียร์ตรงนี้ให้เลย ถ้าคุณจะสร้าง “บ้านเดี่ยว” หรือ “สิ่งปลูกสร้างถาวร” ขนาด “เกิน 5 ตารางเมตร” ขึ้นไป ต้องขออนุญาตทุกกรณี ครับ

  • บ้านขนาดเล็ก ๆ เช่น 10 ตรม. ก็ต้องขอ

  • ต่อเติมครัว ห้องน้ำ โรงรถ ถ้ามีโครงสร้างถาวร ขยายพื้นที่ ก็ต้องขอเช่นกัน

  • เฉพาะศาลานั่งเล่นเล็ก ๆ ต่ำกว่า 5 ตรม. ที่ไม่ถาวรจึงจะไม่ต้องขอ

เอกสารสำคัญที่ต้องเตรียม (และต้องใช้เงินเท่าไหร่?)

ค่าใช้จ่าย

  • แบบบ้าน – หากจ้างบริษัทรับสร้างบ้านหรือสถาปนิกออกแบบ จะมีค่าดำเนินการออกแบบและเซ็นรับรอง เริ่มต้นตั้งแต่ หลักพันไปจนถึงหลักแสนเลยครับ แต่มาตรฐานส่วนใหญ่ค่าออกแบบจะอยู่ที่ 5-7 % ของราคาบ้าน

  • หนังสือรับรองวิศวกร – ส่วนมากรวมในค่าจ้างออกแบบ

  • สำเนาโฉนดที่ดิน/บัตรประชาชน – ไม่เสียค่าใช้จ่าย

  • ค่าธรรมเนียมยื่นขออนุญาต – โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,000-3,000 บาท (ขึ้นกับพื้นที่และขนาดอาคาร)

เอกสารที่ต้องเตรียม

  • โฉนดที่ดิน

  • แบบแปลนบ้าน (ต้องมีลายเซ็นสถาปนิก/วิศวกรที่ได้รับใบอนุญาต)

  • หนังสือรับรองวิศวกร

  • สำเนาบัตรประชาชนเจ้าของที่ดิน

  • หนังสือมอบอำนาจ (ถ้าผู้เป็นเจ้าของที่ไม่สะดวกไปเอง)

  • แบบฟอร์มขออนุญาต (ขอที่เขต/อบต./เทศบาลได้)

รายการเอกสารสำคัญ

  • โฉนดที่ดิน หรือเอกสารแสดงสิทธิ์ในที่ดิน
  • แบบแปลนบ้าน ที่ได้รับการเซ็นรับรองจากวิศวกรและสถาปนิก
  • หนังสือรับรองการออกแบบโครงสร้าง จากวิศวกรที่ได้รับใบอนุญาต
  • สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของเจ้าของที่ดิน
  • หนังสือยินยอมจากเพื่อนบ้าน (กรณีที่ก่อสร้างชิดแนวเขตที่ดิน)

ขั้นตอนยื่นขออนุญาตสร้างบ้าน ใช้เวลานานไหม?

  • เตรียมเอกสารครบ 
        – จ่ายค่าธรรมเนียมหลักพัน แต่บริษัทสร้างบ้านบางเจ้า อาจรวมแพคเกจการยื่นขออนุญาตให้คุณเรียบร้อยพร้อมชำระค่าใช้จ่ายให้ทุกขั้นตอน โดยที่คุณเตรียมเอกสารให้ครบ หรือ พบกับเจ้าหน้าที่หรือเซ็นต์ในบางขั้นตอนเท่านั้น 
  • ยื่นที่เขต/เทศบาล/อบต.
     - จ่ายค่าธรรมเนียมหลักพัน
     - เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารและแบบบ้าน ถ้าไม่มีปัญหา รออนุมัติประมาณ 30 วัน
     - ถ้ามีข้อผิดพลาด อาจถูกเรียกแก้ไข/ส่งกลับ เช่น ระบบประปา ไฟฟ้า และ ท่อน้ำทิ้ง ไม่ถูกหลักตามที่เจ้าหน้าที่กำหนด ต้องใช้เวลายื่นซ้ำอีกรอบครับ

  • รับใบอนุญาตก่อสร้าง
     - เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย จะได้รับใบอนุญาต
     - มีอายุ 1 ปี (ถ้าสร้างไม่เสร็จต้องขอต่ออายุ)

ข้อควรระวังและเคล็ดลับสำหรับเจ้าของบ้านมือใหม่

  • ห้ามสร้างก่อนขออนุญาตเด็ดขาด ถ้าเจ้าหน้าที่ตรวจเจอ อาจถูกสั่งรื้อถอนกลางคันหรือปรับได้

  • พื้นที่สีเขียว-ผังเมือง เช็กกฎระเบียบประจำพื้นที่ เช่น ความสูง ระยะร่น ฯลฯ ว่าในเขตที่เราอยู่สร้างได้สูงสุดกี่ชั้น (ต่างจังหวัดอาจง่ายกว่าในเมือง)

  • แบบบ้านต้องถูกกฎหมาย อย่าใช้แบบบ้านจากอินเทอร์เน็ตที่ไม่มีวิศวกรรับรอง

รู้ทันปัญหางบบานปลายจากการขออนุญาต

หลายบ้านเจอค่าใช้จ่ายแฝง เพราะมองข้ามค่าใช้จ่ายในขั้นตอนเริ่มต้น ทั้งค่าแก้ไขแบบ ค่าเซ็นแบบใหม่ (ผู้ออกแบบหรือบางบริษัทจะคิดเงินเมื่อคุณแก้ไขแบบจากของเดิม) ดังนั้น ใครที่อยากประหยัดงบ อย่าลืมวางแผนตรงนี้ด้วย หรือถ้าอยากดูแนวทางการควบคุมงบ ให้อ่านบทความนี้ครับ สร้างบ้านให้อยู่ในงบ ต้องรู้อะไรบ้าง ก่อนงบจะบานปลาย? ซึ่งช่วยให้การวางแผนของคุณมั่นใจขึ้นเยอะ