หลอดไฟ LED ดีจริงไหม | รวมคำถาม-ความแตกต่างและข้อดีที่ควรรู้

ในยุคที่เทคโนโลยีต่าง ๆ ก้าวหน้ามากขึ้น หลอดไฟ LED ถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในบ้านเราครับ เนื่องจากประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานและอายุการใช้งานที่ยาวนาน แต่คำถามที่ยังค้างคาใจหลายคนคือ หลอดไฟ LED ดีจริงไหม? มันคุ้มค่าหรือเปล่าเมื่อเทียบกับหลอดไฟแบบอื่น ๆ? วันนี้ผมจะมาอธิบายให้ชัดเจนครับว่าเหตุใดหลอดไฟ LED จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในปัจจุบัน และคุณควรเลือกใช้มันหรือไม่ มาอ่านกันเลยครับ!

หลอดไฟ LED คืออะไร? ทำไมถึงได้รับความนิยม?

หลอดไฟ LED (Light Emitting Diode) คือเทคโนโลยีที่ทำให้แสงจากชิป LED ส่องออกมาแทนการใช้หลอดไฟแบบเก่าๆ เช่น หลอดไส้หรือหลอดฟลูออเรสเซนต์ ซึ่งต้องบอกเลยว่า LED มีประสิทธิภาพสูง ประหยัดพลังงานเยอะ และยังใช้งานได้นานกว่ามาก! หลายบ้านหันมาใช้ LED กันเยอะขึ้น เพราะมันตอบโจทย์ทั้งความประหยัดและความสะดวกสบาย

ข้อดีของหลอดไฟ LED ที่ทำให้มันโดดเด่นกว่าแบบอื่นๆ

หลอดไฟ LED นั้นมีข้อดีเยอะมากที่ทำให้หลายคนเลือกใช้กัน ลองมาดูสิครับ

  • ประหยัดพลังงาน: ใช้พลังงานน้อยกว่าแบบเดิมๆ ถึง 80% เลยทีเดียว ทำให้ค่าไฟลดลงได้จริง!
  • อายุการใช้งานยาวนาน: หลอดไฟ LED มีอายุการใช้งานที่ยาวนานถึง 50,000 ชั่วโมง (ประมาณ 5-6 ปี) ถ้าใช้งานปกติ แถมไม่ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ
  • แสงสว่างคงที่: ให้แสงสว่างที่สม่ำเสมอ ไม่กระพริบ ซึ่งช่วยให้ตาของคุณไม่ล้าจากแสงไฟที่ไม่คงที่
  • ทนทานและปลอดภัย: แข็งแรง ทนทานต่อการกระแทก

หลอดไฟ LED กับหลอดไฟแบบอื่นๆ แตกต่างกันยังไง?

เมื่อเทียบกับหลอดไฟแบบเก่าๆ เช่น หลอดฟลูออเรสเซนต์ หลอดไฟ LED ก็มีความแตกต่างที่ชัดเจน ทั้งในเรื่องการประหยัดพลังงาน อายุการใช้งานที่ยาวนาน และความปลอดภัยที่สูงกว่า นอกจากนี้ หลอดไฟ LED ยังไม่ปล่อยสารพิษที่อันตรายเหมือนหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่มีปรอท ทำให้บ้านของเราปลอดภัยมากขึ้น

การเลือกใช้หลอดไฟ LED ที่เหมาะสมกับการใช้งาน

ก่อนจะเลือกใช้หลอดไฟ LED ก็ควรพิจารณาตามการใช้งานในแต่ละห้องนะครับ เช่น

  • ห้องนั่งเล่น: ควรใช้หลอดไฟที่ให้แสงสว่างอบอุ่นอย่าง Warm White (2700K-3000K) ที่ทำให้บรรยากาศดูอบอุ่นและน่าอยู่
  • ห้องครัว: ควรเลือกหลอดไฟที่ให้แสงสดใสอย่าง Cool White (4000K-5000K) เพื่อให้แสงสว่างเพียงพอสำหรับการทำอาหาร
  • ห้องนอน: ใช้หลอดไฟที่ให้แสงอ่อนๆ อย่าง Warm White (2700K-3000K) จะทำให้บรรยากาศในห้องนอนผ่อนคลายและน่านอน

ข้อจำกัดของหลอดไฟ LED ที่ควรรู้

แม้หลอดไฟ LED จะดีมาก แต่ก็มีข้อจำกัดบ้าง เช่น ราคาที่อาจจะแพงกว่าหลอดไฟแบบเก่าในตอนแรก และส่วนใหญ่ไม่สามารถใช้กับสวิตซ์หรี่แสง (Dimmer Switch) แต่ในปัจจุบันมีแบรนด์ที่สามารถทำให้ใช้งานได้แล้ว แต่ถ้าคิดถึงการประหยัดในระยะยาวแล้ว ก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากครับ 

สรุป: ทำไม หลอดไฟ LED ถึงเป็นตัวเลือกที่ดี?

เอาจริงๆ ถ้าคุณกำลังมองหาหลอดไฟที่คุ้มค่าในระยะยาว หลอดไฟ LED คือคำตอบที่ดีที่สุดครับ ประหยัดพลังงาน ใช้งานได้นาน และให้แสงสว่างที่สม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังปลอดภัยและไม่ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ คุณเลือก LED ก็ยิ้มได้ทั้งปีครับ!

เลือกพื้นห้องครัวอย่างไรให้ สวย ทน และใช้งานได้จริง

สวัสดีครับ ใครที่กำลังคิดจะปรับปรุงหรือสร้างห้องครัวใหม่ อาจสงสัยว่าจะเลือกพื้นห้องครัวแบบไหนดี? ห้องครัวเป็นพื้นที่ที่ต้องเจอทั้งความชื้น คราบสกปรก และแรงกระแทก การเลือกพื้นห้องครัวที่เหมาะสมไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม แต่ต้องตอบโจทย์ทั้งการใช้งานและความทนทานด้วย วันนี้ผมรวบรวมวัสดุยอดนิยมสำหรับปูพื้นห้องครัว พร้อมแนะนำวิธีเลือกที่เหมาะกับบ้านและไลฟ์สไตล์ของเรามาฝากครับ

วัสดุยอดฮิตสำหรับพื้นห้องครัว

1. กระเบื้องเซรามิก

ถ้าพูดถึงพื้นห้องครัว กระเบื้องเซรามิกมักเป็นตัวเลือกอันดับแรกที่หลายคนคิดถึง เพราะมีความแข็งแรง ทนทานต่อความชื้น และทำความสะอาดง่ายมาก มีหลากหลายลวดลายและสีสันให้เลือก ตั้งแต่ลายไม้ธรรมชาติไปจนถึงลวดลายโมเดิร์น อย่างไรก็ตาม การปูกระเบื้องต้องใช้ความระมัดระวัง หากติดตั้งไม่ดีอาจเกิดน้ำซึมใต้กระเบื้องได้ และควรเลือกกระเบื้องที่มีพื้นผิวไม่ลื่น เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ

2. พื้นไวนิล

สำหรับคนที่มองหาความสวยงามและติดตั้งง่าย พื้นไวนิลถือเป็นตัวเลือกที่มาแรงในปัจจุบัน ด้วยคุณสมบัติกันน้ำ ทนทานต่อความชื้น และมีลวดลายที่หลากหลาย เช่น ลายไม้หรือหินธรรมชาติ น้ำหนักเบาและเหมาะกับงานรีโนเวท อย่างไรก็ตาม ไวนิลอาจไม่ทนต่อความร้อนสูง และถ้าใช้ในพื้นที่ที่โดนน้ำมันหรือสารเคมีหนัก ๆ อาจเกิดรอยได้ง่าย

3. หินแกรนิตหรือหินอ่อน

ถ้าอยากให้ห้องครัวดูหรูหราและมีระดับ วัสดุหินธรรมชาติอย่างหินแกรนิตหรือหินอ่อนก็ตอบโจทย์แน่นอนครับ หินแกรนิตมีความแข็งแรง ทนต่อการขีดข่วน ส่วนหินอ่อนมีลวดลายที่สวยงามและให้ความรู้สึกหรูหรา แต่ข้อควรระวังคือหินอ่อนอาจเกิดรอยเปื้อนได้ง่ายและต้องการการดูแลเป็นพิเศษ นอกจากนี้ วัสดุหินยังมีน้ำหนักมาก ควรตรวจสอบโครงสร้างพื้นให้รองรับน้ำหนักได้ก่อนครับ

4. พื้นไม้ลามิเนต

สำหรับใครที่ชอบความอบอุ่นและธรรมชาติในห้องครัว พื้นไม้ลามิเนตเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ มีลวดลายไม้สวยงามและติดตั้งง่าย แถมยังมีราคาถูกกว่าไม้จริง อย่างไรก็ตาม ไม้ลามิเนตอาจไม่เหมาะกับห้องครัวที่มีความชื้นสูง เพราะถ้าความชื้นซึมเข้าไปในชั้นวัสดุ อาจทำให้ไม้บวมและเสียหายได้ เรื่องการเป็นรอยก็ยังมีแบรนด์ที่ใช้สารเคลือบกันลอยหลายแบรนด์ แต่ก็ไม่ทนต่อแรงกระแทกหรือลอยขีดข่วนหนักๆครับ

5. พื้นปูนเปลือยหรือพื้น Epoxy

สำหรับคนที่ชอบความโมเดิร์นและเรียบง่าย พื้นปูนเปลือยหรือพื้น Epoxy เป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ พื้นปูนให้ลุคดิบเท่ และเหมาะกับบ้านสไตล์ลอฟท์ ส่วน Epoxy มีความเรียบเนียนและทนทานสูง ทำความสะอาดง่าย แต่พื้นปูนอาจทำให้รู้สึกเย็นเท้า และถ้าไม่ซีลผิวอย่างดี อาจมีคราบหรือรอยด่างจากครัวได้

6.พื้นกระเบื้องพอร์ซเลน

กระเบื้องพอชเลน (Porcelain Tiles) เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับพื้นห้องครัว เพราะไม่เพียงแต่มีความทนทานสูงและไม่ดูดซึมน้ำมาก แต่ยังให้ดีไซน์ที่สวยงามอีกด้วย ในห้องครัวที่ต้องเผชิญกับความร้อนและความชื้น กระเบื้องพอชเลนเหมาะมาก เพราะมันทนต่อรอยขีดข่วนและง่ายต่อการทำความสะอาด บวกกับความหลากหลายของลวดลายและสีสันที่ทำให้ห้องครัวดูทันสมัยและสะอาดตา

ถ้าเลือกกระเบื้องพอชเลนสำหรับพื้นห้องครัว นอกจากความทนทานและความสวยงามแล้ว มันยังทำให้การดูแลรักษาห้องครัวเป็นเรื่องง่ายอีกด้วยครับ

สรุป: เลือกพื้นห้องครัวให้ตอบโจทย์บ้านของคุณ

การเลือกพื้นห้องครัวที่เหมาะสมต้องคำนึงถึงการใช้งาน ไลฟ์สไตล์ของเรา และความสวยงามที่เข้ากับบ้าน ถ้าห้องครัวของคุณต้องเจอกับความชื้นบ่อย ๆ กระเบื้องเซรามิกและพอร์ซเลนถือว่าเหมาะที่สุด แต่ถ้าชอบความหรูหรา ลองเลือกหินแกรนิตหรือหินอ่อน รับรองว่าสวยสะดุดตา หรือถ้าอยากได้ลุคโมเดิร์น ลองพื้นปูนเปลือยหรือ Epoxy ก็ไม่เลว สุดท้ายแล้ว เลือกแบบที่ตอบโจทย์ทั้งความชอบและการใช้งานของคุณ รับรองว่าใช้งานไปนาน ๆ ก็ยังแฮปปี้ครับ

เคาน์เตอร์ครัวต้องสูงเท่าไหร่ถึงใช้แล้วไม่ปวดหลัง?

เคาน์เตอร์ครัวที่ใช้งานสบาย ต้องมีความสูงที่พอดีกับร่างกายของเรา เพื่อให้ใช้งานแล้วไม่ปวดหลัง มาดูกันว่าเราควรเลือกความสูงของเคาน์เตอร์กี่เซนติเมตร เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานของเรา

ความสูงเคาน์เตอร์ครัวที่ได้มาตรฐาน

สำหรับคนทั่วไป ความสูงของเคาน์เตอร์ครัวที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 85-90 เซนติเมตร จากพื้นถึงท็อปเคาน์เตอร์ แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาตามความสูงของผู้ใช้งานเป็นหลัก

วิธีคำนวณความสูงของเคาน์เตอร์

  • วัดจากข้อศอก:
    ยืนตรง วัดจากข้อศอกลงมาประมาณ 15 เซนติเมตร จะได้ความสูงของเคาน์เตอร์ที่เหมาะสม

  • ลองใช้งานจริง:
    ทดลองยืนทำงานบนโต๊ะที่มีความสูงต่างกัน เช่น โต๊ะกินข้าวหรือโต๊ะทำงาน เพื่อหาความสูงที่รู้สึกสบาย

  • ปรับตามลักษณะการใช้งาน

    • หากเน้น เตรียมอาหาร เช่น หั่นหรือซอย ความสูงอาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
    • หากเน้น ทำอาหารบนเตา อาจปรับให้ต่ำลงเพื่อให้ใช้งานง่าย

ทำไมความสูงของเคาน์เตอร์ถึงสำคัญ?

หากเคาน์เตอร์ครัวสูงหรือต่ำเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาดังนี้

  • ปวดหลัง: จากการก้ม-เงยผิดธรรมชาติ
  • อาการเมื่อยล้า: หากใช้งานเป็นเวลานาน
  • เสียเงินซ่อมแซม: หากต้องเปลี่ยนแปลงภายหลัง

สรุป

เลือกเคาน์เตอร์ครัวที่เหมาะสมกับความสูงของผู้ใช้งานเป็นหลัก และปรับความสูงตามลักษณะการใช้งาน จะช่วยให้การใช้งานสบายขึ้น ลดอาการปวดเมื่อย และใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ แต่ถ้าทั้งบ้านเราสูงเฉลี่ย 150 หรือ 190 ก็ควรปรับความสูงให้เหมาะสมกับการใช้งานของแต่ละครอบครัวนะครับ ไม่จำเป็นต้องใช้ตามค่านี้เสมอไป 😊

สร้างบ้านให้ได้มาตรฐาน พร้อมควบคุมงบประมาณ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ รับสร้างบ้านครบวงจร

กันสาดมีกี่แบบ? เลือกแบบไหนให้เหมาะกับบ้านเรา

กันสาดเป็นส่วนสำคัญของบ้าน เป็นส่วนต่อเติมที่ช่วยกันแดดกันฝนและเพิ่มความสวยงามของบ้านเรา ในไทยจะมีวัสดุส่วนใหญ่เช่น ไวนิล,ไฟเบอร์กลาส,อะคริลิก,โพลีคาร์บอเนต,เมทัลชีท วันนี้เรามารู้จักกันสาดแต่ละชนิด พร้อมวิธีเลือกให้เหมาะกับบ้านของเรากันครับ

ทำไมการเลือกกันสาดถึงสำคัญ?

กันสาดไม่ใช่แค่ตัวช่วยกันแดดกันฝน แต่ยังช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้บ้าน ดูแลพื้นที่กลางแจ้ง และยืดอายุการใช้งานของบ้านบางส่วน เช่น หน้าต่างหรือประตู มาดูกันว่ากันสาดมีกี่แบบ และแต่ละแบบเหมาะกับบ้านแบบไหน

กันสาดมีกี่แบบ?

1. กันสาดผ้าใบ

กันสาดผ้าใบเป็นแบบที่นิยมใช้ทั่วไป เหมาะกับบ้านที่ต้องการความสะดวกและความหลากหลายทางดีไซน์ น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย แต่เหมาะกับการใช้งานชั่วคราว เช่น ระเบียงหน้าบ้านหรือพื้นที่นั่งเล่นกลางแจ้ง จริงแล้วสามารถใช้ระยะยาวได้ครับแต่อาจจะเสื่อมสภาพไว หรือ โดนลมแรงๆอาจเกิดความเสียหาย

2. กันสาดโพลีคาร์บอเนต

โพลีคาร์บอเนตมีความโปร่งแสง ช่วยให้แสงธรรมชาติผ่านได้ แต่ยังคงกันฝนและแดด เหมาะกับบ้านสไตล์โมเดิร์นที่ต้องการความเรียบง่ายแต่ดูหรูหรา แต่อายุการใช้งานสั้น อาจเกิดการกรอบแตกของตัววัสดุทำให้น้ำรั่วไหลจากหลังคาได้ สามารถใช้วัสดุ ไวนิล,ไฟเบอร์กลาส,เมทัลชีท ได้ ขึ้นอยู่กับงบและความสวยงาม

3. กันสาดกระจก

รับบ้านที่ต้องการความทันสมัยและเปิดโล่ง กันสาดกระจกนิรภัยเป็นตัวเลือกที่ลงตัว ให้ความหรูหราและโปร่งโล่ง แต่ควรติดตั้งโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ ทนทานมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน สำหรับใครที่งบถึงผมขอแนะนำเป็นกันสาดชนิดนี้ครับ 

4. กันสาดอะลูมิเนียม

วัสดุที่แข็งแรงทนทานเหมาะกับการใช้งานระยะยาว เช่น โรงจอดรถหรือทางเดินรอบบ้าน ต้านทานทั้งแดด ลม และฝนได้ดี อาจดูไม่ทันสมัยและถ้าฝนตกอาจมีเสียงที่ค่อนข้างดังพอสมควรครับ

5. กันสาดระแนงไม้

กันสาดชนิดนี้จะเน้นไปที่ความสวยงามมากกว่า สำหรับบ้านที่ต้องการบรรยากาศธรรมชาติ กันสาดไม้ช่วยเพิ่มความอบอุ่นและเสน่ห์ให้บ้าน เหมาะกับบ้านสไตล์รีสอร์ทหรือบ้านสวน 

วิธีเลือกกันสาดให้เหมาะกับบ้าน

  • เลือกตามพื้นที่ติดตั้ง: เช่น ระเบียง โรงรถ หรือหน้าต่าง
  • เลือกวัสดุที่ตอบโจทย์: พิจารณาความคงทนและดีไซน์ที่เหมาะสมกับบ้าน
  • เลือกดีไซน์ที่ลงตัว: กันสาดแบบโปร่งแสงเหมาะกับบ้านโมเดิร์น ในขณะที่กันสาดไม้หรือผ้าใบเหมาะกับบ้านสไตล์ธรรมชาติ
  • งบประมาณ: เลือกกันสาดที่ทั้งสวยงามและคุ้มค่ากับการลงทุน ซึ่งปัจจุบันมีหลายดีไซน์มาก

สรุป

กันสาดเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เลือกกันสาดที่เหมาะสมกับบ้านเราจะช่วยเพิ่มทั้งความสวยงามและความสะดวกสบายให้บ้านแน่นอนครับ ไม่ว่าจะเป็นกันสาดผ้าใบ ระแนงไม้ หรือ กลุ่มไวนิล ไฟเบอร์กลาสเอง ก็มีดีไซน์ที่สวยงามและทันสมัยมากขึ้น

เราพร้อมให้บริการ ตั้งแต่ออกแบบจนเข้าอยู่ ดูผลงานของเราและข้อมูลเพิ่มเติมคลิกที่ รับสร้างบ้าน

ดับกลิ่นท่อ ด้วย5วิธีง่ายๆที่ทำให้กลิ่นหายขาด

ปัญหากลิ่นที่มาจากท่อ ท่อตัน เป็นปัญหาที่มักจะเจอทุกบ้าน มาอ่าน 5 วิธีง่าย ๆ ช่วยดับกลิ่นท่อให้หายขาด 

ดับกลิ่นท่อด้วยน้ำร้อน

ต้มน้ำจนเดือดแล้วเทลงในท่อระบายน้ำอย่างช้า ๆ เพื่อชะล้างคราบไขมันและสิ่งสกปรกที่ตกค้าง เป็นวิธีบ้านๆที่ให้ผลดีเกินคาด เพราะยังช่วยกำจัดเชื้อโรคและกลิ่นอีกด้วย แต่ถ้าบ้านไหนใช้ท่อที่เก่าแล้ว ระวังท่อเกิดความเสียหายได้

ดับกลิ่นท่อด้วยใช้เบกกิ้งโซดากับน้ำส้มสายชู

ผสมเบกกิ้งโซดาครึ่งถ้วยกับน้ำส้มสายชูครึ่งถ้วย เทลงในท่อระบายน้ำและทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำร้อน ซึ่งช่วยกำจัดคราบไขมัน สิ่งสกปรกต่างๆและกลิ่นได้ดี อาจต้องใช้ซ้ำในกรณีที่มีกลิ่นแรงครับ

ดับกลิ่นท่อด้วยเกลือผสมน้ำร้อน

เทเกลือหยาบ 2-3 ช้อนโต๊ะลงในท่อ จากนั้นเทน้ำร้อนตามลงไปเพื่อช่วยละลายคราบสกปรก เป็นวัตถุดิบที่หาได้ภายในครัว ลดกลิ่นและฆ่าเชื้อได้ แต่อาจไม่ได้ผลในกรณีมีกลิ่นหรือคราบที่สะสมมานาน

ดับกลิ่นด้วยการติดตั้งตัวดักกลิ่น

ตรวจสอบท่อระบายน้ำว่ามีการติดตั้งตัวดักกลิ่นหรือไม่ หากยังไม่มี ควรติดตั้งเพิ่มเพื่อช่วยป้องกันกลิ่นย้อน สามารถป้องกันกลิ่นได้ถาวรและลดการสะสมของสิ่งสกปรกในท่อ

ดับกลิ่นด้วยผลิตภัณฑ์เฉพาะสำหรับท่อ

สามารถดับกลิ่นได้ทันทีเพียงแค่ใช้ผลิตภัณฑ์ดับกลิ่นสำหรับท่อลงไปในท่อระบายน้ำ โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาให้ช่วยกำจัดกลิ่นได้ตรงจุด แต่ถ้าใช้โซดาไฟ ต้องใช้หน้ากากป้องการสารเคมีด้วยครับ

สรุป

ยังมีวิธีอื่นๆอีกมากมายในการลดกลิ่นท่อเช่น มะนาว มะกรูด แต่ท้ายที่สุดแล้วผมว่าควรแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุด้วยการล้างสิ่งสกปรกในท่อนั่นเอง เพื่อห้องน้ำที่สะอาด และไม่มีกลิ่นเหม็น

ก่อนเริ่มทำ ห้องครัว ต้องรู้10ข้อนี้ถ้าไม่อยากเสียเงินซ่อมซ้ำ

การสร้าง ห้องครัว ที่ดีไม่ได้เป็นแค่เรื่องของความสวยงาม แต่ยังต้องคำนึงถึงฟังก์ชันการใช้งาน ความสะดวก และความปลอดภัยอีกด้วย 10 ข้อนี้คือสิ่งที่ผมอยากให้รู้ว่ามันจำเป็นมากถ้าคุณกำลังทำห้องครัวใหม่

ตำแหน่งของห้องครัว

ห้องครัวควรตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบายอากาศดี มีหน้าต่างหรือช่องระบายอากาศ เพื่อป้องกันกลิ่นและควันสะสม รวมถึงตำแหน่งที่ไม่ส่งผลกระทบต่อห้องอื่น ๆ เช่น ไม่ควรใกล้ห้องนอนหรือประตูทางเข้าบ้าน

ฟังก์ชันและการใช้งานของครัว

ออกแบบครัวตาม หลักสามเหลี่ยมการทำงาน ที่เชื่อมโยงอ่างล้างจาน เตา และตู้เย็นให้ใช้งานสะดวก พื้นที่จัดเก็บควรเพียงพอสำหรับเก็บเครื่องครัวและวัตถุดิบ เพื่อให้หยิบจับใช้งานแต่ละอุปกรณ์ได้ง่าย

วัสดุที่ใช้ในห้องครัว

เลือกวัสดุที่เหมาะสมกับการใช้งานของเรา เพื่อยืดอายุการใช้งานและทนต่อความร้อนและชื้น แต่ยังต้องดูแลรักษาง่าย

  • เคาน์เตอร์ครัว: หินแกรนิตหรือสแตนเลส ทนทานและดูแลรักษาง่าย
  • พื้น: กระเบื้องกันลื่น หรือ พื้นผิวที่สามารถเช็ดล้างได้ง่าย
  • ผนัง: กระเบื้องหรือกระจกกันคราบ

ความสูงที่เหมาะสมของเคาน์เตอร์ครัว

  • เคาน์เตอร์ครัว: ควรมีความสูงมาตรฐาน 85–90 เซนติเมตร หรือปรับตามส่วนสูงของผู้ใช้งาน
  • ตู้ลอย: ติดตั้งที่ระยะห่างจากเคาน์เตอร์ 50–60 เซนติเมตร
    **การเลือกความสูงที่เหมาะสมช่วยเพิ่มความสะดวกและลดอาการปวดหลังจากการใช้งานครับ

ระบบไฟและแสงสว่างในห้องครัว

ควรติดตั้งไฟที่ให้แสงเพียงพอ โดยเน้นจุดสำคัญ เช่น พื้นที่เตรียมอาหารหรือบริเวณเตา ใช้ไฟเฉพาะจุดและไฟเพดานร่วมกันเพื่อความสะดวก หรือใครที่ชอบทำอาหารถ่ายรูปสวยๆ ก็ติดตั้งไฟตรงจุดวางอาหารให้ดูเด่นและน่ากินขึ้นมาได้ครับ

ติดตั้งระบบน้ำและระบายอากาศ

วางแผนจุดติดตั้งอ่างล้างจาน ท่อน้ำดี น้ำทิ้ง และเครื่องดูดควันให้เหมาะสม เพื่อความสะอาดและลดกลิ่นอับ ระบบท่อภายในเคาน์เตอร์ควรออกแบบและวางให้เป็นระเบียบ เพื่อเพิ่มพื้นที่การเก็บของและแก้ไขซ่อมแซมได้สะดวกครับ

เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว

เลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น เตาอบ ไมโครเวฟ หรือเตาแก๊ส และจัดวางให้เข้าถึงง่าย ถ้าใครอยากทำแบบฝังต้องวัดขนาดเครื่องที่จะใช้ หรือ ปรึกษากับเซลล์และช่างได้เลยครับ เพราะบางรุ่นจะมีขนาดมาตรฐานให้เลือกอยู่ครับ

สไตล์และการตกแต่งครัว

เลือกโทนสีที่เข้ากับบ้าน เช่น สไตล์โมเดิร์น มินิมอล หรือคลาสสิก โดยเน้นโทนสีที่ทำให้ครัวดูกว้างและสะอาด แต่ถ้าอยากได้ดำล้วน หรือ โทนอื่นๆ ก็แล้วแต่เราจะออกแบบเลยครับ ไม่มีผิดมีถูก แต่สิ่งสำคัญต้องใช้งานได้สะดวก ปลอดภัย

ความปลอดภัยภายในครัว

ติดตั้งระบบป้องกันไฟ หรือ ถังดับเพลิงเล็กๆ ในจุดที่หยิบใช้งานง่ายหรือสามารถบิ้วอินแบบซ่อนก็ได้ครับ ใช้อุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานเช่น ไมโครเวฟ เตาอบ เตาไฟฟ้า เครื่องดูดควัน หรืออื่นๆ เพื่อป้องกันความอันตราย

งบประมาณในการสร้างห้องครัว

วางแผนงบประมาณล่วงหน้า โดยแยกค่าใช้จ่ายสำหรับวัสดุ เครื่องใช้ไฟฟ้า และค่าแรงช่าง พร้อมเตรียมงบสำรองในกรณีฉุกเฉิน เช่น
อุปกรณ์ภายในครัว มีอะไรบ้าง ใช้แบรนด์อะไร ราคาเท่าไหร่ สามารถลิสต์ไว้เพื่อคำนวนได้เลยครับ

สรุปการทำห้องครัว

ห้องครัวที่ดีต้องคำนึงถึงความสะดวก ความปลอดภัย และฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันและสร้างบรรยากาศที่น่าใช้งานในทุกมื้อ แต่ถ้าเราทำสวยทำดีก็สามารถถ่ายอวดเพื่อนๆหรือถ่ายคอนเทนต์รายการอาหารได้สบายๆเลยครับ

อยากได้บ้านตรงปก วัสดุมาตรฐาน พร้อมทีมงานมืออาชีพ เลือกเราสิครับ บริการรับสร้างบ้าน

หลังคาบ้านมีกี่สไตล์? แล้วแบบไหนเหมาะกับประเทศไทยมากที่สุด

เลือกหลังคาบ้านให้ถูกใจและใช้งานได้ดี! มาดูกันว่าหลังคามีกี่สไตล์ และแบบไหนเหมาะกับบ้านและสภาพอากาศบ้านเรามากที่สุด

หลังคาบ้าน ที่ใช้ในไทยมีแบบไหนบ้าง?

ไม่ว่าคุณจะสร้างบ้านใหม่หรือเลือกซื้อบ้าน หลักสำคัญคือเลือกหลังคาที่ตอบโจทย์ทั้งความสวยงามและการใช้งาน มาดูกันว่าหลังคาแบบไหนตอบโจทย์สไตล์ของเรา หรือ เหมาะกับประเทศไทยมากที่สุด

หลังคาบ้านทรงจั่ว

เป็นรูปทรงสามเหลี่ยมที่พบได้บ่อยในบ้านทั่วไป โครงสร้างเรียบง่ายและราคาประหยัด ระบายน้ำฝนได้ดี เหมาะกับพื้นที่ฝนตกชุกสร้างง่าย ประหยัดเวลาและงบประมาณ ดีไซน์คลาสสิก เข้ากับบ้านทุกสไตล์ กันความร้อนได้ดี สามารถติดฉนวนกันความร้อนได้

หลังคาบ้านทรงปั้นหยา

หลังคาทรงนี้มีลักษณะลาดเอียงทั้งสี่ด้าน ทำให้โครงสร้างดูสมดุลและสวยงาม กันลมได้ดีมาก เพราะทุกด้านลาดเอียง ดีไซน์หรูหรา ระบายน้ำฝนได้ดี ไม่มีปัญหาน้ำขัง กันร้อนได้ดี และสามารถติดฉนวนกันความร้อนเพิ่มได้

หลังคาบ้านทรงเพิงหมาแหงน

หลังคาแบบลาดเอียงไปด้านเดียว มักใช้ในบ้านสไตล์โมเดิร์นหรืออาคารขนาดเล็ก ดีไซน์ทันสมัย สร้างง่ายและใช้วัสดุน้อย เหมาะกับการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ อาจมีปัญหาเรื่องการระบายความร้อนในบางกรณี

หลังคาบ้านแบน

หลังคาที่มีลักษณะแบนเรียบ (หรือที่เราชอบเรียกกันว่าบ้านโมเดิร์น) เหมาะกับบ้านหรืออาคารที่ต้องการพื้นที่ใช้งานบนดาดฟ้า ดีไซน์เรียบง่ายและเข้ากับบ้านสไตล์โมเดิร์น แต่อาจมีปัญหาน้ำขังสูง ถ้าระบบระบายน้ำและออกแบบหลังคาได้ไม่ดี ในอนาคตอาจทำให้น้ำซึมลงฝ้าหรือชื้นจนเป็นราได้

แล้วหลังคาบ้านแบบไหนเหมาะกับบ้านเรา?

หลังคาทรงจั่ว และ หลังคาทรงปั้นหยา มักตอบโจทย์ในประเทศไทยมากที่สุดครับ เพราะมีเรื่องความร้อนและน้ำฝนด้วย ซึ่งหลังคา 2 แบบนี้สามารถระบายน้ำและกันความร้อนได้ดี แต่ถ้าคุณอยากได้หลังคาแบนสไตล์โมเดิร์น ก็สามารถใช้ได้เหมือนกันครับ แต่ต้องมีหินโรยหรือ solar slab เพื่อกันความร้อน และทาน้ำยากันซึมให้กับหลังคาด้วยเช่นกัน

สรุป

การเลือกหลังคาควรคำนึงถึงสไตล์ที่เราชอบและสภาพอากาศด้วยเช่นกัน หลังคาทุกแบบมักเจอปัญหารั่วซึมในอนาคตอยู่แล้วครับขึ้นอยู่กับอายุการใช้งานและการดูแลรักษา หลังคาแบน ในสมัยนี้ก็เริ่มมีให้เห็นหลายหลังถ้าออกแบบได้ดี ทั้งความร้อน การระบายน้ำ รับรองใช้งานได้สบายใจไม่แพ้แบบอื่นๆเลย 

บ้านสไตล์โมเดิร์น มันดีจริงเหรอ หรือแค่สวยแต่ปวดหัวทีหลัง ?

บ้านสไตล์โมเดิร์น เป็นดีไซน์ยอดนิยมที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่ด้วยความเรียบง่ายและทันสมัย แต่ก่อนตัดสินใจสร้างบ้าน ผมว่าควรมาดูข้อดีและข้อเสียที่คุณควรรู้ เพื่อการวางแผนที่ดีและป้องกันปัญหาของตัวบ้านในอนาคต

ข้อดีของบ้านสไตล์โมเดิร์น

ดีไซน์ทันสมัยและเรียบง่าย

  • โดดเด่นด้วยรูปทรงที่เรียบง่าย เน้นความทันสมัย และจัดสรรพื้นที่ได้ดี

โปร่ง โล่ง สบาย

  • ใช้กระจกบานใหญ่ช่วยเพิ่มความโปร่งแสง ทำให้บ้านดูกว้าง ถ้ารอบบ้านจัดสวนอาจเพิ่มวิวและธรรมชาติได้ดี

ประหยัดพลังงาน

  • บ้านโมเดิร์น จะมีหน้าต่างและกระจกที่กว้าง เพื่อให้แสงเข้าถึงตัวบ้าน จึงช่วยลดการใช้ไฟฟ้า และมีช่องลมที่ช่วยระบายอากาศได้ดี

วัสดุทนทานและดูแลรักษาง่าย

  • ส่วนใหญ่แล้วจะใช้วัสดุที่ทนทาน เช่น กระจก อลูมิเนียม และเหล็ก ที่มีความแข็งแรงและคงทน บางบ้านใช้เป็นโครงสร้างเหล็ก หรือ ผสม คสล. (คอนกรีตเสริมเหล็ก) ในบางจุด ถ้าโครงสร้างเหล็กก็ต้องหาช่างที่มีฝีมือในการเชื่อม

ข้อเสียของบ้านสไตล์โมเดิร์น

ปัญหาน้ำซึมจากหลังคา

  • หลังคาโมเดิร์นที่แบนราบมักเจอปัญหาน้ำขังและน้ำซึมและเป็นสิ่งที่ต้องเจอในอนาคตถ้าไม่ป้องกันตั้งแต่สร้างบ้าน
  • คำแนะนำ: ควรทำสโลปลาดเอียง (1-2 เซนติเมตรต่อเมตร) หรือแล้วแต่ผู้ออกแบบคำนวณมาให้ พร้อมติดตั้งระบบระบายน้ำ

บ้านร้อนจากแสงแดด

  • การใช้กระจกเยอะอาจทำให้บ้านสะสมความร้อน
  • คำแนะนำ: ติดฟิล์มกรองแสงหรือใช้กระจกสองชั้นลดความร้อน

ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างสูงกว่าปกติ

  • การใช้วัสดุคุณภาพและงานออกแบบเฉพาะตัวอาจทำให้ต้องใช้งบประมาณมากขึ้น
  • ยิ่งมีกระจกและกรอบอลูมิเนียมที่คุณภาพดี ยิ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก งบอาจบานปลายหลายแสน

ต้องดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ

  • หลังคาและระบบระบายน้ำต้องได้รับการบำรุงรักษา เช่น การตรวจรอยรั่วหรือการอุดตัน
  • หน้าต่างและกระจกที่มีจำนวนมาก อาจมีรอยรั่วซึมจากฝนตก ต้องใช้ช่างที่มีความรู้ในการติดตั้ง (บ้านทั่วไปก็เจอปัญหานี้เช่นกัน)

หลังคาโมเดิร์นต้องทำสโลปแบบไหนเพื่อป้องกันน้ำขัง?

หลังคาโมเดิร์นที่แบนราบควรมีความลาดเอียง 1-2% หรือประมาณ 1-2 เซนติเมตรต่อระยะ 1 เมตร หรือตามที่ผู้ออกแบบแนะนำ เพื่อให้น้ำฝนไหลลงตามท่อได้สะดวก พร้อมทั้งติดตั้งวัสดุหรือทาน้ำยากันซึมและระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ เช่น รางน้ำฝนและท่อระบายที่ตำแหน่งต่ำสุดของหลังคา ยิ่งหลังคากว้างยิ่งต้องมีท่อระบายน้ำหลายจุด

เคล็ดลับ:

  • ตรวจสอบและทำความสะอาดระบบระบายน้ำทุกปี
  • ใช้วัสดุหรือน้ำยากันซึมที่ทนทานต่อทุกสภาพอากาศ เพื่อยืดอายุการใช้งาน

บ้านสไตล์โมเดิร์น เหมาะกับใคร?

เหมาะสำหรับคนที่ชอบสไตล์บ้านที่ดูทันสมัย เรียบง่าย สามารถใส่ฟังก์ชั่นให้ตัวบ้านมีลูกเล่นได้เยอะ ถ้าใครชอบบ้านที่มีหน้าต่างหรือกระจกบานใหญ่ๆ บ้านโมเดิร์นตอบโจทย์แน่นอนครับ แต่ก็มาพร้อมงบประมาณที่ค่อนข้างสูง (ในเรื่องของกระจก) และสิ่งสำคัญ อย่าลืมตรวจสอบการรั่วซึมของหลังคาทุก3-5ปีนะครับ

สรุปข้อดี-ข้อเสียของบ้านสไตล์โมเดิร์น

จริงๆแล้วบ้านทุกสไตล์มักมีข้อดีและข้อเสียหมดนั่นแหละครับ เราแค่เลือกว่าชอบสไตล์แบบไหน ฟังก์ชั่นแบบไหนเหมาะกับเรา ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ที่สวยงามและการใช้งานที่ตอบโจทย์ แต่ต้องใส่ใจเรื่องการออกแบบหลังคาและการบำรุงรักษา ซึ่งถ้าเจอช่างที่มีประสบการณ์ก็อาจไม่เจอปัญหาที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้อีกเลย ถ้าหากต้องการสร้างบ้านโมเดิร์นที่สมบูรณ์แบบ Panlerd Construction ผมพร้อมให้บริการครบวงจร ตั้งแต่ออกแบบ วางแผน ไปจนถึงก่อสร้างครับ

หน้าต่าง มีกี่ประเภทแล้วต้องใช้แบบไหน

ประเภทของ หน้าต่าง และวิธีเลือกใช้งานให้เหมาะสม

หน้าต่าง เป็นองค์ประกอบสำคัญของบ้านที่ช่วยเพิ่มแสงธรรมชาติ การระบายอากาศ และความสวยงาม หากเรากำลังเลือกหน้าต่างสำหรับบ้านหรืออาคาร การเข้าใจประเภทของหน้าต่าง รวมถึงข้อดีและข้อเสีย จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดครับ

ประเภทของหน้าต่างที่นิยมใช้

หน้าต่างบานเลื่อน (Sliding Windows)

  • ลักษณะเด่น: เปิด-ปิดโดยเลื่อนบานซ้ายหรือขวา

  • เหมาะสำหรับ: บ้าน คอนโด หรือที่พักอาศัยและห้องเล็กๆ

  • ข้อดี: ใช้งานง่าย ดูแลรักษาไม่ยาก

  • ข้อเสีย: ไม่สามารถเปิดได้ทั้งหมด และรางเลื่อนอาจสะสมฝุ่น ต้องทำความสะอาดบ่อย ถ้าช่างติดตั้งไม่ถูกต้อง หน้าฝนอาจทำให้น้ำซึมจากวงกบหน้าต่างเข้ามาในห้องได้

หน้าต่างบานเปิด (Casement Windows)

  • ลักษณะเด่น: เปิด-ปิดแบบผลักหรือดึง

  • เหมาะสำหรับ: ห้องที่ต้องการการระบายอากาศสูง เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก

  • ข้อดี: เปิดได้กว้าง ช่วยให้อากาศถ่ายเทดี

  • ข้อเสีย: ต้องมีพื้นที่ด้านนอกสำหรับเปิดบาน หากพื้นที่แคบหรือใกล้สิ่งกีดขวางอาจไม่เหมาะสม และอาจมีปัญหากระแทกหากลมแรง

หน้าต่างบานกระทุ้ง (Awning Windows)

  • ลักษณะเด่น: บานเปิดออกด้านล่าง มักติดตั้งบริเวณสูง

  • เหมาะสำหรับ: ห้องน้ำหรือห้องครัว หรือห้องนอนก็ได้

  • ข้อดี: ป้องกันฝนสาด และเพิ่มการระบายอากาศ มีหลายขนาดและหลายรุ่น

  • ข้อเสีย: เปิดได้จำกัด ถ้าใช้บานใหญ่ต้องมีขาล็อคเพื่อไม่ให้น้ำหนักของหน้าต่างกดปิดลงมา

หน้าต่างบานตาย (Fixed Windows)

  • ลักษณะเด่น: บานกระจกติดแน่น ไม่สามารถเปิดได้

  • เหมาะสำหรับ: พื้นที่ที่ต้องการแสง แต่ไม่ต้องการระบายอากาศ เช่น ผนังโชว์วิว หรือรับแสง

  • ข้อดี: ดีไซน์สวยงาม ดูแลรักษาง่าย สามารถดีไซน์ด้วยตัวเองได้

  • ข้อเสีย: ไม่สามารถเปิดระบายอากาศได้เลย และหากกระจกเสียหาย อาจต้องเปลี่ยนทั้งชุด

หน้าต่างบานเฟี้ยม (Folding Windows)

  • ลักษณะเด่น: เปิด-ปิดแบบพับเก็บด้านข้าง

  • เหมาะสำหรับ: ห้องที่ต้องการเปิดกว้าง เช่น ระเบียง ถ้าเป็นประตูควรเป็นห้องรับแขกสำหรับบ้านที่มีพื้นที่กว้าง

  • ข้อดี: ช่วยให้พื้นที่ดูกว้างขึ้น ระบายอากาศได้ดี

  • ข้อเสีย: มีหลายบานพับหรือจำนวนบานเยอะอาจทำให้เสื่อมเร็ว เนื่องจากมีน้ำหนักที่ค่อนข้างเยอะ

สรุปควรเลือกหน้าต่างแบบไหนดี

ผมว่าเราควรคำนึงถึงพื้นที่และการใช้งานเช่น ถ้าคอนโดหรือห้องเล็กควรเลือกหน้าต่างบานเลื่อนเพราะประหยัดพื้นที่และระบายอากาศได้ดี ถ้าบ้านควรเลือกให้เหมาะกับสไตล์บ้านที่ต้องการติดตั้ง สิ่งสำคัญที่สุดควรเลือกให้เหมาะกับงบประมาณ เพราะหน้าต่างแต่ละแบบมีราคาที่แตกต่างกันมากยังไม่รวมถึงชนิดแบบกันเสียง uPVC หรือ ขนาดของกระจกที่เราอยากใช้ และหน้าต่างทุกชนิดสามารถติดมุ้งลวดเพิ่มได้นะครับ

ประตูห้องน้ำ ต้องเลือกวัสดุอะไรที่ใช้แล้วไม่บวม?

วันนี้จะมาบอกเคล็ดลับวิธีเลือกประตูสำหรับใช้ภายในห้องน้ำ ว่าควรใช้วัสดุแบบไหนที่จะทำให้ทนทานต่อการใช้งานและไม่บวมหรือเป็นปัญหาในภายหลังซึ่งเรามีประตู 3 ชนิดได้แก่ PVC uPVC และ WPC

ประตูห้องน้ำPVC (Polyvinyl Chloride)

ซึ่งเป็นวัสดุ PVC หรือเราเรียกกันว่าพลาสติก โครงสร้างโปร่งมีความยืดหยุ่น

ข้อดีของประตู PVC

  • น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย
  • กันน้ำและความชื้น
  • ราคาถูก

ข้อเสียของประตู PVC

  • ไม่ทันต่อแรงกระแทกหรือการเปิดแบบรุนแรง
  • อายุการใช้งานสั้นถ้าเทียบกับวัสดุอื่น
  • ลักษณะทั่วไป ดีไซน์ไม่หรูหรา

เหมาะสำหรับการใช้งานแบบไหน

  • ใช้งานชั่วคราว
  • งานที่ไม่ต้องการความแข็งแรงมากนัก

ประตูห้องน้ำ uPVC (Unplasticized PVC)

เป็นวัสดุ PVC ชนิดพิเศษที่ไม่ใส่สารพลาสติไซเซอร์ หรือ สารที่ทำให้วัสดุนิ่มหรือยืดหยุ่นได้มากขึ้น ประตูชนิดนี้ในยุคปัจจุบันมักบุด้วยโฟมด้านใน สามารถตัดแต่งได้ 5-10 มิลลิเมตร (หรือขึ้นอยู่กับแต่ละแบรนด์)

ข้อดีของประตู uPVC

  • แข็งแรงทนต่อแรงกระแทกได้ดี
  • กันน้ำ ความชื้นได้100%
  • ทนต่อสภาพอากาศและใช้งานได้นาน
  • กันความร้อนและเสียงได้ระดับนึง เนื่องจากบุด้วยโฟม

ข้อเสียของประตู uPVC

  • ราคาค่อนข้างสูงกว่า PVC
  • ดีไซน์และลวดลายอาจไม่หลากหลาย หรือ คล้ายๆกัน

เหมาะสำหรับการใช้งานแบบไหน

  • ห้องน้ำและพื้นที่ที่ต้องการความทนทาน สามารถใช้กับห้องอื่นๆได้
  • สำหรับคนที่เน้นใช้งานระยะยาว

ประตูห้องน้ำ WPC (Wood Plastic Composite)

วัสดุผสมจาก ผงไม้ และ พลาสติกโพลิเมอร์ เช่น PE,PP,PVC โครงสร้างด้านในฉีด PS Foam หรือบางเจ้าใช้เกรดอื่นๆ ซึ่งจะมีรายละเอียดบอกหน้าสินค้าอยู่แล้วครับ

ข้อดีของประตู WPC

  • แข็งแรงทนต่อแรงกระแทกได้ดี
  • กันน้ำ ความชื้นได้100% ทนต่อปลวกและเชื้อรา
  • ทนต่อสภาพอากาศและใช้งานได้นาน
  • กันความร้อนและเสียงได้
  • ลายไม้ดูสวยงามเหมือนไม้จริง
  • อายุการใช้งานนาน

ข้อเสียของประตู WPC

  • ราคาสูงกว่าประตู uPVC และ PVC
  • น้ำหนักอาจหนักกว่าทุกรุ่น (แต่ขึ้นอยู่กับแบรนด์)
  • หากตัดแต่งมากไปอาจกระทบความแข็งแรง (ควรทำตามที่ร้านแนะนำเท่านั้น)

เหมาะสำหรับการใช้งานแบบไหน

  • ห้องน้ำและพื้นที่ที่ต้องการความทนทาน สามารถใช้กับห้องอื่นๆได้
  • สำหรับคนที่เน้นใช้งานระยะยาว

สรุปควรใช้ประตูแบบไหนดี แล้วห้องอื่นๆสามารถใช้ได้ไหม

ประตู uPVC และ WPC สามารถใช้ร่วมกับห้องอื่นๆได้ อย่างบ้านของผมก็ใช้ WPC เป็นประตูห้องนอน แต่ถ้าเป็นห้องน้ำที่ไม่ได้ใช้งานบ่อยหรือชั่วคราวสามารถใช้ PVC ได้ ถ้าเป็นห้องน้ำหรือห้องส่วนตัวและต้องการความทนทานด้วยพร้อมดีไซน์ที่ทันสมัย ผมคงเชียร์ให้เป็น uPVC และ WPC ซึ่งจะมีความต่างของราคาแต่ก็แลกมาด้วยคุณภาพที่แตกต่างเช่นกัน